ใช่หรือไม่ว่าพระคุณ :
1.ให้กับผู้ที่สมควรได้รับ?
2.ช่วยเพิ่มเติมให้กับผู้ที่สมควรได้รับ?
3.เพราะมนุษย์ไม่สมควรได้รับก็ไม่ประทานให้?
4.เพราะมนุษย์ไม่สมควรได้รับจึงไม่ค่อยประทานให้?
5.ทำให้ผู้ที่ได้รับกลายเป็นลูกหนี้ (หนี้พระคุณ)?
6.ให้อภัยบาปกับคนบาปโดยตรง?
7.ให้อภัยบาปกับสิทธชนโดยตรง?
พระคัมภีร์กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ” (เอเฟโซ 2:8) ถ้าเช่นนั้น
1.พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำความดีแล้วจึงจะได้รับการช่วยใช่ไหม?
2.พระเจ้าต้องการให้มนุษย์กระทำในสิ่งที่ควรกระทำ แล้วจึงได้รับการช่วยใช่ไหม?
3.พระเจ้าสามารถไม่ช่วยมนุษย์เพราะเหตุมนุษย์กระทำไม่ดีได้ไหม?
4.พระเจ้าสามารถไม่ช่วยมนุษย์คนนี้เนื่องจากเขาเทียบกับมนุษย์คนนั้นไม่ได้ได้ไหม?
5.คำว่าตอบแทนพระคุณเป็นคำที่ถูกต้องแล้วใช่ไหม?
6.พระเจ้าสามารถที่จะพระเมตตาคนบาปผู้หนึ่ง แล้วให้อภัยบาปเขาเปล่า ๆ ได้ไหม?
7.พระเจ้าสามารถที่จะอภัยบาปของผู้เชื่อคนหนึ่งเปล่า ๆ เพราะเหตุทรงรักเขาได้ไหม?
ตอบ
มนุษย์เรามีข้อผิดพลาดใหญ่ข้อหนึ่งคือ ชอบใช้ความคิดของมนุษย์มาวัดน้ำพระทัยของพระเจ้า ใจของมนุษย์เราเป็นใจแห่งข้อกฎหมาย ไม่ใช่ใจแห่งพระคุณ และพวกเราก็มักจะคิดว่าพระทัยของพระเจ้าก็เหมือนกับใจของพวกเรา จึงทำให้เข้าใจพระทัยของพระเจ้าผิดไป
พวกเราจำต้องรู้ให้ชัดเจนว่าอะไรคือพระคุณ
1.พระคุณไม่ใช่ให้กับผู้ที่สมควรได้รับ โรม 4:4 กล่าวว่า “ฝ่ายคนที่ทำการนั้นก็ไม่ถือว่าค่าจ้างที่ได้นั้นเป็นบำเหน็จ (พระคุณ) แต่ถือว่าเป็นค่าจ้างสมกับการที่ได้ทำ” พูดในทางกลับกัน ทุกสิ่งที่ไม่ควรได้รับแต่กลับได้รับมา นั่นก็คือพระคุณ ถ้าหากสมควรได้รับก็ไม่ต้องการความหมายของพระคุณแล้ว ที่พระคุณสามารถเป็นพระคุณได้ ก็เพราะไม่มีส่วนของบุญคุณอยู่ในนั้น เอเฟโซ 2:8 กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ” เพราะว่าไม่สมควรได้รับการช่วยให้รอด แต่ก็ได้รับการช่วยให้รอดแล้ว ดังนั้นนี่คือพระคุณ โรม 3:24 “แต่พระเจ้าได้ทรงประทานพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดค่า” “ไม่คิดค่า” มีความหมายอย่างไร? “ไม่คิดค่า” ในภาษาเดิมกับคำว่า “ไม่มีเหตุ” ใน โยฮัน 15:25 พระเยซูตรัสว่า “เขาได้ชังเราโดยไม่มีเหตุ” เป็นคำเดียวกัน พระคุณของพระเจ้าให้มนุษย์ชอบธรรมโดยไม่คิดค่า ก็คือพระเจ้าให้มนุษย์ชอบธรรมโดยไม่มีเหตุผล “แต่พระคัมภีร์ได้กั้นเขตคนทั้งปวงไว้ในความผิด” (ฆะลาเตีย 3:22) “เพราะพระเจ้าได้ทรงปล่อยให้คนทั้งหลายอยู่ในฐานที่ไม่เชื่อฟัง” (โรม 11:32) พระเจ้าได้วางมนุษย์ไว้ในฐานะเดียวกัน ไม่มีใครคนไหนสามารถรอดได้โดยอาศัยการประพฤติ (ทำดี) ทุกคนต้องพึ่งพระคุณจึงจะรอด ถ้าหากท่านถามท่านเปาโลว่าเขาได้รับความรอดอย่างไร เขาจะต้องตอบว่า พึ่งในพระคุณของพระเจ้า ถ้าท่านไปถามสิทธชนที่มีทั้งหมดว่าได้รับความรอดอย่างไร พวกเขาล้วนต้องตอบว่า รอดโดยพึ่งพระคุณของพระเจ้า พระคุณก็คือพระเจ้าช่วยมนุษย์โดยไม่มีสาเหตุ
2.พระคุณไม่ใช่ส่วนที่เพิ่มเติมให้สำหรับผู้ที่สมควรได้รับ เอเฟโซ 2:9 กล่าวว่า “ความรอดนั้นเป็นด้วยการประพฤติก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้” นี่ไม่ใช่บอกว่าหลังจากที่ได้รับความรอดแล้วไม่ต้องประพฤติดี แต่คือพูดว่ามนุษย์ได้รับความรอดไม่ใช่โดยการประพฤติ ถ้ามนุษย์ได้รับความรอดโดยการประพฤติ มนุษย์ก็จะนำสิ่งนี้มาโอ้อวด ถ้าความรอดที่มนุษย์ได้รับมามี 3 ส่วนเพราะพึ่งการประพฤติ มนุษย์ก็จะโอ้อวดว่าได้กระทำไป 3 ส่วน พระเจ้าก็จะขาดสง่าราศีไป 3 ส่วน ถ้าความรอดที่มนุษย์ได้รับมามี 1 ส่วนเพราะพึ่งการประพฤติ มนุษย์ก็จะโอ้อวดว่าได้กระทำไป 1 ส่วน พระเจ้าก็จะขาดสง่าราศีไป 1 ส่วน พระเจ้าไม่อาจแบ่งสง่าราศีกับมนุษย์ พระเจ้าชิงชังการโอ้อวดของมนุษย์ เป้าหมายของพระเจ้าคือต้องการได้รับสง่าราศี ดังนั้นพระคุณของพระเจ้าจะไม่ประทานให้เพราะบุคคลผู้นั้นสมควรได้รับ
พระคุณไม่ได้ให้กับผู้ที่สมควรได้รับ พระคุณก็ไม่ได้ให้มากไปกว่าที่สมควรได้รับ พระคุณไม่ใช่รางวัลแห่งความยุติธรรม พระคุณก็ไม่ใช่รางวัลพิเศษ พระคุณไม่ใช่ปัญหาที่จะมาถกเถียงกันว่าสมควรได้รับหรือไม่ การที่มนุษย์จะได้รับพระคุณ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องที่ว่าเหมาะสมหรือไม่ ดังนั้นเรื่องเหมาะสมอย่างมากหรือไม่เหมาะสมเลย ก็ไม่ใช่ประเด็นเช่นกัน ในเรื่องการได้รับการช่วยให้รอด มนุษย์ไม่สามารถใช้ความประพฤติของตัวเองแม้แต่เล็กน้อยมาต้อนรับพระคุณของพระเจ้า
หลายคนคิดว่า ถ้าเราไปกระทำดีจนสุดกำลัง พยายามรักษากฎหมายโดยสุดความสามารถ เมื่อทำไม่ได้แล้วค่อยมาพึ่งพระคุณของพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่แสดงว่า ส่วนหนึ่งพึ่งการปฏิบัติ ส่วนหนึ่งพึ่งพระคุณ ในอดีตมีคนหนึ่งกล่าวว่า “เราควรปฏิบัติตามบัญญัติ 10 ประการ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ได้รับความรอด” มีคนถามเขาว่า “ท่านได้ทำผิดบัญญัติหรือไม่?” เขาตอบ “ทำผิดแล้ว” คนนั้นถามว่า “ท่านทำผิดแล้วจะทำอย่างไร?” เขาตอบ “ทำไม่ได้ก็พึ่งพระคุณของพระเจ้า” ความคิดเช่นนี้ก็คือไม่เข้าใจพระคุณของพระเจ้า
มัดธาย 19 คนหนุ่มคนหนึ่งได้ถามพระเยซูว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำดีประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์” พระเยซูตรัสตอบว่า “ก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้” เขาตอบว่าเขาได้ถือรักษาไว้แล้วทุกข้อ แต่เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านปรารถนาเป็นผู้ดีรอบคอบ จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา” เขาก็กระทำไม่ได้แล้ว ถ้าคนหนึ่งต้องการได้รับการช่วยให้รอดโดยการประพฤติตามกฎหมาย ก็ต้องกระทำจนกระทั่ง “ถึงที่สุด” ไม่เพียงต้องรักพระเจ้าด้วยสุดใจ สุดจิต สุดความคิด สุดกำลัง ยังต้องนำสิ่งของที่มีอยู่ในบ้านทั้งสิ้นออกมา ขาดไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว ถ้าต้องการพึ่งพระคุณของพระเจ้า ก็ต้องพึ่งพิงอย่างหมดสิ้น ไม่ใช่มนุษย์ทำครึ่งหนึ่ง พระเจ้าทำอีกครึ่งหนึ่ง พระคุณของพระเจ้าไม่ใช่ค่อยเพิ่มเติมสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ เมื่อเป็นพระคุณของพระเจ้า ก็คือพระคุณของพระเจ้า ถ้าเป็นการกระทำของมนุษย์ ก็คือการกระทำของมนุษย์ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งพึ่งตัวเองกระทำ อีกส่วนหนึ่งพึ่งพระเจ้า
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะเหตุว่าพระเยซูได้สิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าก็ได้วางมนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปไว้ในตำแหน่งเดียวกัน ขณะที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน พระเจ้า “ทรงให้บาปผิดทั้งหมดของพวกเราตกอยู่กับเขาผู้นั้น” (ยะซายา 53:6)ก็ได้จัดการปัญหาของความบาปแล้ว ครั้งเดียวได้จัดการไปตลอดกาล ดังนั้นมนุษย์อยู่ต่อสายพระเนตรของพระเจ้าไม่สามารถพึ่งตนเองอีก ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการปฏิเสธการกระทำของพระองค์ ก็คือพูดได้ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์เปล่า ๆ
3.พระคุณไม่ใช่ไม่ประทานให้เพราะผู้นั้นไม่สมควรได้รับ (ข้อนี้คล้ายกับคำตอบในข้อ 1 แต่พูดกลับกันอีกด้านหนึ่ง) แต่เพราะมนุษย์ไม่ควรได้รับจึงมีพระคุณ คือขณะที่มนุษย์รู้ตัวว่าไม่สามารถพึ่งพิงตัวเองได้ หมดสิ้นหนทาง เขาจึงร้องเรียกหาพระคุณ และขณะเมื่อพระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์ไม่มีที่พึ่งพิง หมดหนทางแล้ว จึงประทานพระคุณมาให้ ถ้าหากมนุษย์มีความสามารถ เขาก็จะไม่คิดว่าต้องการพระคุณ พระองค์ก็ไม่ทรงประทานพระคุณให้ ดังนั้น “ไม่สมควรได้รับ” ไม่เพียงไม่อาจขัดขวางไม่ให้พระเจ้าประทานพระคุณ แต่กลับเป็นเงื่อนไขเดียวที่พระเจ้าประทานพระคุณให้
มีพี่น้องคนหนึ่งพูดว่า “พระคุณเป็นพระเมตตาที่ไม่มีจำกัด ปรากฏอยู่ในความดีงามที่ไม่จำกัด” พระคุณคืออะไร? พระคุณคือไหลจากบนลงล่าง ความรักคืออะไร? ความรักคือความเท่าเทียมกัน ความยำเกรงคืออะไร? ความยำเกรงคือการต่อผู้ที่สูงกว่าท่าน พระคุณคือไหลจากบนลงล่าง พระคุณมีเพียงทิศทางเดียว ไหลลงสู่เบื้องล่าง ท่านต้องการได้รับพระคุณของพระเจ้า ท่านก็ต้องยอมรับว่าท่านเป็นคนบาปที่พึ่งพิงไม่ได้ เป็นคนบาปที่ไม่มีที่พึ่งพิง จึงจะทำให้ท่านมีคุณสมบัติที่จะได้รับพระคุณของพระเจ้า
คนมากมายชื่นชอบพระคุณมาก เพราะพระคุณเป็นหลักธรรมหนึ่งที่ช่วยให้มนุษย์นอบน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง พระคุณต้องการให้ท่านยอมรับว่าท่านเป็นคนไม่ดี แก้วชาที่คว่ำไม่สามารถรินชาลงไปได้ฉันใด ก็ไม่มีมนุษย์ที่เย่อหยิ่งคนใดจะยินยอมรับพระคุณฉันนั้น เราจำต้องยอมรับว่าเราเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ จึงจะสามารถต้อนรับพระคุณของพระเจ้า
4.พระคุณไม่ใช่เพราะมนุษย์ไม่สมควรได้รับจึงประทานให้น้อย (ข้อนี้เป็นปัญหาที่ตรงข้ามกับ ข้อ 2) พระเจ้าไม่ได้ละเลยปัญหาความบาปของมนุษย์ พระเจ้าทรงเข้มงวดอย่างยิ่ง และชัดเจนอย่างมาก ทั้งทรงจัดการกับปัญหาความบาปของมนุษย์อย่างถึงที่สุดด้วย พระองค์ได้อาศัยพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาจัดการปัญหาความบาปของมนุษย์อย่างหมดสิ้นแล้ว เช่นนี้ มนุษย์ยังมีอะไรที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เหมาะสมมากหรือเหมาะสมน้อยอีก? พระคุณของพระเจ้าไม่ได้มองเรื่องความ “เหมาะสม” ของมนุษย์ ในสายพระเนตรของพระเจ้ามนุษย์ล้วนเหมือนกัน ล้วนเพียงพอได้รับพระคุณของพระเจ้า
พระเจ้าจะไม่คำนึงถึงว่ามนุษย์ไม่เหมาะสมแล้วไม่ประทานพระคุณให้ แต่กลับกันเพราะเหตุมนุษย์ไม่เหมาะสมจึงประทานพระคุณให้ พระเจ้าจึงไม่สามารถที่จะไปแบ่งแยกว่าในท่ามกลางมนุษย์ที่ไม่เหมาะสม มีใครที่เหมาะสมมาก ใครเหมาะสมน้อย และให้ผู้ที่เหมาะสมมากได้ครับพระคุณมาก ให้ผู้ที่ไม่ค่อยเหมาะสมได้รับพระคุณน้อย
พระเจ้าไม่สามารถเพราะมนุษย์มีความบาปมากก็ประทานพระคุณให้น้อย หรือมนุษย์มีความบาปน้อยก็ประทานพระคุณให้มาก อีกทั้งเดิมทีพระคุณก็ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าใช้มาซ่อมเสริมข้อบกพร่องคนบาปด้วย ตัวของมนุษย์ที่มีบาปเป็นอย่างไร ประพฤติดีหรือชั่วมากน้อยเพียงใด ล้วนแต่วางไว้อีกด้านหนึ่ง
เมื่อพระคุณคือพระคุณ ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับผู้ที่ได้รับพระคุณ ไม่ใช่เพราะผู้ได้รับพระคุณมีเหตุผลใดจึงได้รับพระคุณ พระคุณก็ไม่ใช่เพราะเหตุผู้นั้นไม่เหมาะสมจึงไม่ประทานให้ พระคุณจะไม่เกี่ยวข้องกับสภาพการณ์ของผู้ได้รับพระคุณเลย พระคุณจึงตัดส่วนที่จะมาค่อยดูว่าผู้ได้รับเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมออกไปได้ ไม่เช่นกันก็จะเอาประเด็นสภาพการณ์ของผู้ได้รับพระคุณมาเป็นเงื่อนไขอีก การประทานพระคุณไม่ได้ให้เพราะว่าผู้นั้นเป็นอย่างไร และก็ไม่ใช่ให้เพราะผู้นี้เปรียบเทียบกับผู้นั้นแล้วดีกว่ากันอย่างไร พระคุณของพระเจ้ายิ่งใหญ่ไพศาล เพื่อคนบาปทุกประเภท ผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี หรือผู้ที่ผู้อื่นมองว่าชั่วช้าเลวทรามอย่างมาก ล้วนแต่เป็นผู้ที่ต้องการพระคุณของพระเจ้าเหมือนกัน
อาจจะมีคนคิดว่า คนที่ดูดีหน่อยน่าจะเป็นผู้ที่เหมาะสมได้รับมากกว่า แต่พระเจ้าทรงมองว่าล้วนเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น มีถ้วยหลายใบตกแตกอยู่บนพื้น บ้างใบแตกเป็นสองซีก บ้างใบแตกออกเป็นห้าซีก บ้างใบแตกละเอียดเลย แม้ว่าสภาพที่แตกนั้นจะต่างกัน แต่ก็คือแตกเหมือนกัน ท่านอาจจะเป็นคนบาปที่ดูดีหน่อยก็ดี หรือเป็นคนบาปที่ชั่วร้ายก็ตาม ท่านก็คือคนบาปนั่นเอง พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่ามนุษย์ล้วนเป็นคนบาป ดังนั้นพระเจ้าได้ให้พระเยซูมาตายแทนคนบาป ให้คนบาปทุกคนมีหนทางได้รับการช่วยให้รอด ถ้าในโลกนี้มีเพียงคนเดียวที่ต้องการการช่วยให้รอด พระเจ้าก็ยังคงใช้พระบุตรของพระองค์ลงมาตายแทนเขา อุปมาของผู้เลี้ยงแสวงหาแกะที่หลงหายไป ไม่ใช่ละ 99 ตัวไว้แล้วไปหาแกะ 1 ตัวที่หลงหายไปหรือ? (ลูกา 15:3-4) ไม่ว่าท่านจะเป็นคนบาปมากหรือน้อย ขอเพียงท่านเป็นแกะที่หลงหายไปตัวนั้น ก็ต้องการให้พระเยซูมาตายแทนท่าน
5.พระคุณไม่ได้ทำให้ผู้ที่ได้รับกลายเป็นลูกหนี้ (บุญคุณ) ความหมายของหนี้ก็คือ มีคนให้เงินท่านจำนวนหนึ่งไปใช้สอยก่อน ภายหลังจำต้องคืนให้ครบตามจำนวนที่รับไป ส่วนค่าจ้างเป็นเงินที่มอบให้จากผลงานที่ท่านลงแรงทำ แต่พระคุณไม่ใช่มอบให้โดยดูจากผลงานที่ท่านลงแรงทำ พระคุณก็ไม่เหมือนกับหนี้ที่มอบให้ท่านไปใช้ก่อนชั่วคราว แล้วภายหลังจำต้องนำมามอบคืน พระเจ้าได้อาศัยพระคุณมาช่วยพวกเรา ที่เราทั้งหลายได้รับการช่วยให้รอดไม่ใช่พระเจ้าให้เครดิตกับเราก่อน ถ้าหากเป็นการให้เครดิตเราก่อน ต่อไปภายหน้าเราก็จำต้องคืนกลับไป ก็ไม่ใช่พระคุณ พระคุณก็ไม่ใช่ว่าพระเจ้ามองดูแล้วตอนนี้การกระทำของเราไม่มีผลงานอะไรที่พอจะรับพระคุณได้ จึงให้เครดิตช่วยเราให้รอดก่อน ภายหลังเราถึงค่อยใช้ผลงานที่เรากระทำไปทดแทนการช่วยให้รอดที่เราได้รับ พระคุณไม่มีมูลค่าในอดีต พระคุณก็ไม่มีมูลค่าในปัจจุบัน และพระคุณก็ไม่มีมูลค่าในอนาคตเช่นกัน ถ้าหากปัจจุบันพระเจ้าประทานอะไรให้กับเรา แล้วภายหน้าต้องให้เราชดใช้คืน นี่ก็จะเป็นเรื่องของการชดใช้หนี้แล้ว ไม่ใช่เรื่องของพระคุณ พระคุณของพระเจ้าทรงประทานให้กับผู้ที่ไม่สมควรได้รับทุกคน ไม่มีมูลค่าทั้งในอดีต ปัจจุบัน และก็ไม่มีการชดใช้คืนในอนาคตด้วย
มนุษย์มีความคิดที่ไม่ถูกต้องอันหนึ่ง : การได้รับการช่วยให้รอดนั้นพึ่งพระคุณ แต่การรักษาไว้ซึ่งการช่วยให้รอดนี้จะต้องพึ่งตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ผิดพลาด พระคัมภีร์ไม่เคยกล่าวเลยว่า พระคุณของพระเจ้ากระทำให้เราเป็นหนี้ โรม 6:23 กล่าวว่า “…แต่ของประทานของพระเจ้าก็คือชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” ชีวิตนิรันดร์มีคุณลักษณะอย่างไร? ก็คือเป็นของประทานอันหนึ่ง “ของประทาน” ยังสามารถแปลได้ว่า “ของสมนาคุณ” “ของขวัญ” “ของตอบแทน” หรือพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ของประทานก็คือสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ แล้วสิ่งที่มอบให้ ต้องมีการนำมาคืนหรือไม่? ดังนั้นเราต้องมีความชัดเจน พระคุณไม่ใช่เงินกู้ยืม ไม่จำเป็นต้องใช้คืน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่ต้องใช้คืน แต่นี่ก็ไม่ได้พูดว่าคริสเตียนไม่ต้องมีการประพฤติที่ดี ไม่ต้องสัตย์ซื่อในการปรนนิบัติพระเจ้า หลังจากคนผู้หนึ่งได้รับการช่วยให้รอด ก็ควรมีการประพฤติที่ดี และก็ต้องสัตย์ซื่อในการปรนนิบัติพระเจ้า แต่ทว่าสิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้กระทำก็คือความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้า แรงผลักดันเหล่านี้ล้วนเกิดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นที่เราประพฤติดี สัตย์ซื่อปรนนิบัติพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อต้องการได้รับการช่วยให้รอด และก็ไม่ใช่เพื่อรักษาการช่วยให้รอดไว้ การประพฤติหลังจากได้รับการช่วยให้รอดของคริสเตียนไม่ใช่เพื่อชดใช้หนี้ที่พระองค์ได้ให้เครดิตเราโดยการช่วยเราให้รอดก่อน พระเจ้าได้ทรงรักเราทั้งหลายและทรงช่วยเหลือเราทั้งหลายอย่างไร เราก็ควรจะปรนนิบัติเพราะเหตุรักพระองค์เช่นกัน พระเจ้าได้ทรงช่วยเราให้ได้รับความรอดไม่ใช่เพื่อให้เราเป็นหนี้ เราทั้งหลายสัตย์ซื่อปรนนิบัติพระองค์ก็ไม่ใช่เพื่อชดใช้หนี้เช่นกัน
หลายคนไม่เข้าใจพระคุณของพระเจ้า คิดว่าพระคุณของพระเจ้าเป็นเพียงเรื่องก่อนที่ท่านจะได้รับความรอด ท่านไม่เหมาะสม แต่พระเจ้าทรงยอมช่วยท่าน แล้วหลังจากท่านได้รับความรอดแล้ว ก็จะต้องประพฤติตัวให้ดี พระเจ้าจึงจะไม่เอาการช่วยให้รอดกลับไปจากท่าน วิธีนี้คล้ายกับการแบ่งจ่ายค่าสินค้าเป็นงวด ๆ สินค้านั้นถูกนำไปใช้ก่อน แล้วค่อย ๆ แบ่งจ่ายค่าสินค้าเป็นงวด ๆ ถ้าถึงเวลาแล้วไม่สามารถจ่ายค่างวดได้ ฝ่ายผู้ขายก็จะเรียกเก็บสินค้ากลับคืนไป การพูดเช่นนี้เป็นการบิดเบือนพระคุณของพระเจ้า เวลาที่พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับเราหลังจากได้รับความรอด พระองค์ไม่ใช่ต้องการให้เราไปจ่ายคืนตามเวลาที่กำหนด และพระเจ้าก็ไม่ริบชีวิตนิรันดร์คืนไป เพราะเหตุท่านประพฤติตัวไม่ดีหลังจากได้รับความรอดแล้วด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อชีวิตนิรันดร์เป็นของที่ประทานให้แล้ว ก็ไม่จำต้องพูดถึงเรื่องการตอบแทนกลับคืนไปอีก การตอบแทนกลับคืนก็เป็นการเข้าใจผิดพลาดอีกอย่างเช่นกัน พวกเรามาปรนนิบัติพระเจ้าก็เพราะเหตุความรัก ตัวอย่างเช่น คุณพ่อของข้าพเจ้าส่งของขวัญชิ้นหนึ่งมาให้ ข้าพเจ้าก็พูดว่าข้าพเจ้าจะตอบแทนคุณพ่อ แล้วก็พยายามหาเงินมาตอบแทนตามราคาของขวัญที่คุณพ่อซื้อมาให้ในวันนั้น ที่ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ ไม่ใช่เท่ากับว่าข้าพเจ้าได้ซื้อของขวัญชิ้นนั้นหรือ? พระคุณไม่ต้องการการตอบแทนเป็นนิตย์ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ใช่พระคุณ
6.พระคุณไม่ได้ให้อภัยบาปมนุษย์โดยตรง ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ผู้เชื่อใหม่มากมายเข้าใจผิด คิดว่าที่พระเจ้าอภัยบาปของคนบาป เป็นเพราะพระเจ้ามีพระทัยกว้างใหญ่ ไม่มีเรื่องเช่นนี้ พระเจ้าอภัยบาปให้กับมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้าต้องการเอาใจมนุษย์ หรือพระเจ้าทำเป็นหูหนวก หรือพระเจ้าปล่อยปละละเลย เพราะว่าพระคัมภีร์ไม่เคยกล่าวไว้เช่นนี้ โรม 5:21 ได้กล่าวไว้ว่า “เพื่อว่าความผิดได้ครอบงำถึงความตายฉันใด พระกรุณาก็จักได้ครอบงำโดยความชอบธรรมให้เกิดมีชีวิตนิรันดร์โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลายฉันนั้น” ความผิดนั้นได้ครอบงำตัวเอง แต่พระคุณนั้นได้ครอบงำโดยความชอบธรรม พระคุณไม่ได้ครอบงำตัวเอง พวกเราจำต้องรู้ว่า พระเจ้าไม่เพียงมีพระคุณ พระเจ้ายังมีความชอบธรรมด้วย พระเจ้าไม่เพียงชื่นชอบให้มนุษย์ได้รับการช่วยให้รอด พระเจ้าก็ชื่นชอบที่จะใช้ความชอบธรรมมาปกปักการช่วยมนุษย์ให้ได้รับความรอดด้วย ความหมายที่พระเจ้าประทานพระคุณให้กับมนุษย์ ไม่ใช่เพราะพระทัยของพระเจ้ากว้างใหญ่ อภัยความบาปของเราผ่าน ๆ ไป แต่เป็นเพราะพระองค์ได้ทรงดำเนินจัดการปัญหาความบาปของเราไปหมดสิ้นแล้ว ให้เราสามารถได้รับการช่วยให้รอด ถ้าหากเราเข้าใจผิดไป คิดว่าพระคุณของพระเจ้าเป็นเพียงพระทัยที่กว้างใหญ่ของพระเจ้า ไม้กางเขนของพระคริสต์ก็เปล่าประโยชน์แล้ว ไม่มีความหมายใด ถ้าหากไม่มีความรักของพระเจ้า ก็ไม่มีกางเขนของพระคริสต์ แต่ถ้ามีความรักของพระเจ้า แล้วไม่มีความชอบธรรม ก็ย่อมไม่มีกางเขนของพระคริสต์เป็นแน่ พระเจ้าทรงทราบว่าเรามีบาป พระเจ้าไม่อาจปล่อยปละความบาปนี้ไป พวกเราเองก็ไม่มีวิธีการที่จะจัดการกับความบาปนี้ได้ พระเจ้าได้ให้พระบุตรของพระองค์เองมาตรึงตายบนไม้กางเขนแบกความบาปแทนของเรา ความทุกข์ยากเพียงครั้งเดียวได้จัดการปัญหาความบาปไปหมดสิ้น นี่ก็คือพระคุณของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้าได้จัดการปัญหาของความบาปก่อน จากนั้นจึงอภัยบาป ดังนั้นจึงต้องให้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาตายแทนเรา เราจึงสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้
การที่คนบาปคนหนึ่งกลายเป็นคนบาปก็เพราะ 1.การประพฤติของเขาไม่ดี 2.ชีวิตธรรมชาติของเขาเสื่อมเสีย 3.พระเจ้าทรงตัดสินตามกฎอันชอบธรรมของพระองค์ พระเจ้าทรงช่วยคนบาปคนหนึ่งให้รอดก็โดย 1.อภัยความบาปที่เขาประพฤติไม่ดี 2.ให้เขาบังเกิดใหม่ ให้ชีวิตใหม่แก่เขา 3.นับว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม บัดนี้พระองค์ได้ทรงรับโทษแห่งความบาปแล้ว ได้ทรงตายแทนเราแล้ว ดังนั้นพระเจ้าจำต้องอภัยบาปของเรา มีบางคนคิดว่าต้องทูลวิงวอนขออย่างทุกข์ทรมานจนพระองค์พระทัยอ่อน นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด ที่พวกเราสามารถได้รับการอภัย ก็เพราะพระเจ้าได้ทรงแสดงพระพิโรธ นำความบาปของพวกเราวางไว้บนตัวของพระเยซูหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราสามารถพูดได้ว่า ขอบพระคุณสรรเสริญพระเจ้า พระเยซูได้ทรงรับการพิพากษาแล้ว โดยความชอบธรรมสามารถลงโทษได้เพียงครั้งเดียว ไม่อาจลงโทษได้อีกแล้ว
7.พระคุณของพระเจ้าก็ไม่ใช่ยกโทษบาปของผู้เชื่อโดยตรง เหตุผลในข้อนี้ก็เหมือนกับที่กล่าวถึงในข้อ 6 หลังจากคริสเตียนคนหนึ่งได้รับความรอด อาจจะกระทำความผิดบาปเป็นครั้งคราว ภายหลังกลับใจเสียใหม่ ซึ่งก็ไม่ต้องถึงขั้นทูลวิงวอนขอด้วยความทุกข์ทรมาน ด้วย และก็ไม่ใช่ขอให้พระเจ้าทรงช่วยตอนนี้ แต่คือเชื่อว่าพระคริสต์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว พระเจ้าทรงชอบธรรม พระเยซูได้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าจำต้องให้อภัยกับผู้ที่ต้อนรับพระคุณการช่วยให้รอดนี้ ดังนั้นถ้าหากคริสเตียนได้เผลอกระทำความผิดบาป 1.สารภาพความผิดบาปของตัวเอง ก็จะได้รับการอภัย (1โยฮัน 1:9) 2.ไม่ว่าความผิดบาปใด ก็จะทรงชำระให้หมดสิ้น (1โยฮัน 1:7,9) (สนใจ : “ชำระ…ให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น” “ชำระ…พ้นจากอธรรมทั้งสิ้น” ก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง) 3.ขณะที่ท่านยังไม่สารภาพความผิดบาป พระเจ้าได้ทรงยินยอมอภัยบาปให้แก่ท่านแล้ว เพราะว่าพระเยซูได้ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือเราอยู่ต่อหน้าพระเจ้า” (1โยฮัน 2:1-2) 4.พระเจ้าทรงอภัยและชำระความผิดบาปเช่นนี้ ด้านหนึ่งเพราะพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม อีกด้านหนึ่งเพราะพระเยซูทรงเป็นผู้ชอบธรรม
—–วอท์ชแมน นี