-รู้จักในเนื้อหนังกับรู้จักในวิญญาณ
____________________________________

ข้อพระคัมภีร์ 

โยฮัน 20:11-18 “ฝ่ายมาเรียยืนร้องไห้อยู่ข้างนอกอุโมงค์ เมื่อกำลังร้องไห้อยู่ เขาก้มลงมองดูในอุโมงค์ และได้เห็นทูตสวรรค์สององค์ทรงเสื้อขาวนั่งอยู่เบื้องพระเศียรองค์หนึ่ง เบื้องพระบาทองค์หนึ่ง ในที่ที่พระศพของพระเยซูได้ประดิษฐานไว้ ทูตทั้งสองนั้นจึงพูดกับมาเรียว่า ‘สตรีเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?’ มาเรียจึงตอบว่า ‘เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหนข้าพเจ้าไม่รู้’ เมื่อมาเรียพูดอย่างนั้นแล้ว จึงหันตัวกลับเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่ และมิได้รู้ว่าเป็นองค์พระเยซู พระเยซูตรัสแก่เขาว่า ‘สตรีเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? มาหาผู้ใด?’ มาเรียสำคัญว่าเป็นคนเฝ้าสวนจึงพูดกับพระองค์ว่า ‘นายเจ้าข้า ถ้าท่านได้เอาพระองค์ไป ขอบอกดิฉันให้รู้ว่าท่านเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน และดิฉันจะรับพระองค์ไป’ พระเยซูตรัสว่า ‘มาเรียเอ๋ย’ มาเรียก็หันมาทูลพระองค์ว่า ‘รับโบนี’ ซึ่งแปลว่าอาจารย์ พระเยซูตรัสแก่มาเรียว่า ‘อย่ายึดหน่วงเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพี่น้องของเราบอกเขาว่า เราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของท่านทั้งหลาย และจะไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย’ มาเรียมัฆดาลาจึงไปบอกเหล่าสาวกว่า ‘ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์แล้ว’ และพระองค์ได้ตรัสคำอย่างนั้นแก่เขา”

ลูกา 24:13-16 “นี่แน่ะ วันนั้นเองมีศิษย์สองคนไปยังหมู่บ้านเอ็มมาอู ไกลจากกรุงยะรูซาเลมประมาณสองร้อยแปดสิบเส้น เขาสนทนากันถึงเหตุการณ์ซึ่งได้เป็นไปนั้น และเมื่อเขากำลังสนทนาไต่ถามกันอยู่ พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ดำเนินไปกับเขา แต่ตาเขาฟางไปและจำพระองค์ไม่ได้”

ลูกา 24:25-32 “พระองค์ตรัสแก่สองคนนั้นว่า ‘โอ คนหาความคิดมิได้ และมีใจเฉื่อยในการเชื่อบรรดาคำซึ่งพวกศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้นั้น จำเป็นซึ่งพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้น แล้วเข้าในรัศมีภาพของพระองค์มิใช่หรือ’ พระองค์จึงเริ่มกล่าวเรื่องตั้งต้นแต่โมเซและบรรดาศาสดาพยากรณ์ อธิบายให้เขาฟังในคัมภีร์ทั้งหมดซึ่งเขียนไว้เล็งถึงพระองค์ เมื่อเขามาใกล้หมู่บ้านที่จะไปนั้น พระองค์กระทำอาการเหมือนจะทรงดำเนินเลยไป เขาจึงพูดหน่วงเหนี่ยวพระองค์ว่า ‘เชิญท่านหยุดพักกับเรา เพราะว่าจวนเย็นแล้ว และวันก็ล่วงไปมาก’ พระองค์จึงเสด็จเข้าไปเพื่อพักอยู่กับเขา ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงนั่งรับประทานอาหารกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปังโมทนาขอบพระคุณแล้วหักส่งให้เขา ตาของเขาก็หายฟางและเขาก็รู้จักพระองค์ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา เขาจึงพูดกันว่า ‘ใจของเราเร่าร้อนภายในเราเมื่อพระองค์ทรงพูดกับเราที่กลางทาง และเมื่อพระองค์อธิบายคัมภีร์ให้แก่เรามิใช่หรือ”’

โยฮัน 21:1-14 “ภายหลังเหตุการณ์เหล่านั้น พระเยซูได้ทรงสำแดงพระองค์แก่เหล่าสาวกอีกที่ทะเลติเบเรีย ได้สำแดงพระองค์อย่างนี้ คือซีโมนเปโตรและโธมาที่เรียกว่าดิดุโมและนะธันเอลชาวบ้านคานามณฑลฆาลิลาย และบุตรทั้งสองของเซเบดายและสาวกอีกสองคนอยู่พร้อมกัน ซีโมนเปโตรบอกเขาว่า ‘เราจะไปจับปลา’ สาวกอื่น ๆ นั้นจึงว่า ‘เราจะไปด้วย’ เขาทั้งหลายลงเรือพากันไป และในคืนวันนั้นเขาไม่ได้ปลาเลย ครั้นรุ่งเช้าพระเยซูทรงยืนอยู่ที่ฝั่ง แต่เหล่าสาวกมิได้รู้ว่าเป็นองค์พระเยซู พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า ‘ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้างหรือ’ เขาทูลตอบว่า ‘ไม่มี’ พระองค์จึงตรัสสั่งเขาว่า ‘จงทอดอวนลงข้างขวาเรือเถิดและจะได้ปลา’ เขาจึงทอดลงติดปลาเป็นอันมากจนลากอวนขึ้นไม่ได้ สาวกคนนั้นที่พระเยซูทรงรักจึงบอกเปโตรว่า ‘เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เมื่อเปโตรได้ยินว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจึงหยิบเสื้อชั้นนอกมาสวมเพราะตัวเปล่าอยู่แล้วกระโดดลงในทะเล สาวกอื่น ๆ นั้นมาเรือเล็กลากอวนที่ติดปลานั้น เพราะไม่สู้ไกลจากฝั่ง ไกลประมาณห้าสิบวาเท่านั้น เมื่อเขาขึ้นบนฝั่งแล้วก็เห็นไฟถ่านติดอยู่มีปลาวางบนไฟนั้น และมีขนมปังด้วย พระเยซูตรัสแก่เขาว่า ‘จงเอาปลาที่ท่านได้เดี๋ยวนี้มา’ ซีโมนเปโตรจึงไปลากอวนขึ้นฝั่งเต็มด้วยปลาใหญ่ร้อยห้าสิบสามตัว ถึงมากอย่างนั้นอวนมิได้ขาด พระเยซูตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า ‘เชิญมารับประทานอาหารเถิด’ ในหมู่สาวกไม่มีใครอาจถามพระองค์ว่า ‘ท่านเป็นผู้ใด?’ เพราะเขารู้อยู่ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูทรงดำเนินเข้ามาทรงหยิบขนมปังกับปลาแจกให้เขาทั้งหลาย นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่เหล่าสาวกภายหลังพระองค์ทรงคืนพระชนม์แล้ว”

ตั้งแต่พระเยซูเป็นขึ้นจากตายจนถึงทุกวันนี้ มนุษย์มีการรู้จักพระเยซูต่างกันสองอย่าง การรู้จักอย่างหนึ่งเรียกว่าการรู้จักพระเยซูในเนื้อหนัง และการรู้จักอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า การรู้จักพระเยซูในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปาโลกล่าวว่า “เหตุฉะนั้นตั้งแต่นี้ไปเราจะไม่รู้จักคนใดตามเนื้อหนัง แม้ว่าเมื่อก่อนเราได้รู้จักพระคริสต์ตามเนื้อหนังก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่รู้จักพระองค์เช่นนั้นอีก” (2กธ.5:16) และกล่าวอีกว่า “พระเจ้า… เอาตัวของข้าพเจ้าเป็นที่สำแดงพระบุตรของพระองค์” (ฆต.1:15-16) ประการนี้ให้เรามองเห็นว่าวันนี้เราควรจะอาศัยสิ่งใดมารู้จักพระเยซู บัดนี้เราขอยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมสองสามเรื่องในพระคัมภีร์ เพื่อมาดูว่าการรู้จักพระเยซูสองแบบนั้นแท้จริงเป็นเรื่องเช่นใด

การรู้จักที่มาเรียมัฆดาลามีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

ขณะที่มาเรียมัฆดาลายืนร้องไห้อยู่ภายนอกอุโมงค์ที่ฝังพระเยซู “ทูตทั้งสองนั้นจึงพูดกับมาเรียว่า ‘สตรีเอ๋ย ร้องไห้ทำไม’ มาเรียจึงตอบว่า ‘เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ข้าพเจ้าไม่รู้’ เมื่อมาเรียพูดอย่างนั้นแล้ว จึงหันตัวกลับเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่และมิได้รู้ว่าเป็นองค์พระเยซู” ที่น่าแปลกก็อยู่ตรงนี้เอง เมื่อเธอหันตัวกลับมามองเห็นพระเยซูที่เธอได้เห็นและติดตามมาหลายปี เธอกลับไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู เพราะเหตุใดพระเยซูที่เธอรู้จักมาโดยตลอด แต่ถึงวันนี้เธอกลับไม่รู้จักเลย? เพราะว่าพระบุตรของพระเจ้าในกายเลือดเนื้อนั้นได้ถูกตรึงบนไม้กางเขนและเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว วันนี้กายที่เธอหวังว่าจะพบนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดังนั้นทุกคนที่รู้จักพระองค์ตามเนื้อหนัง หลังจากพระองค์เป็นขึ้นแล้วจะไม่อาจรู้จักพระองค์อีก วันนี้พระองค์ไม่ใช่พระเยซูผู้ที่เธอรู้จัก แต่เป็นพระเยซูที่เธอไม่รู้จัก วันนี้พระองค์ไม่ใช่พระเยซูที่อยู่ในกายเลือดเนื้อ แต่เป็นพระเยซูที่เป็นอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เดิมเธอสามารถอาศัยเนื้อหนังรู้จักได้ แต่วันนี้ใช้วิธีนี้ไม่อาจรู้จักแล้ว

“พระเยซูตรัสแก่เขาว่า ‘สตรีเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? มาหาผู้ใด?’ มาเรียสำคัญว่าเป็นคนเฝ้าสวนจึงพูดกับพระองค์ว่า ‘นายเจ้าข้า ถ้าท่านได้เอาพระองค์ไป…’” หูตาของมาเรียไม่ว่องไวเสียแล้ว เมื่อก่อนเธอใช้หูรู้จักพระองค์ วันนี้หูของเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลง จึงไม่อาจใช้มารู้จักพระเยซูอีก เมื่อก่อนตาของเธอเมื่อมองดูก็รู้ว่าพระองค์เป็นผู้ใด วันนี้ตาของเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ตาสองข้างนี้ไม่รู้จักพระเยซูแล้ว วันนี้เธอไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่พระเยซูชาวนาซาเร็ธทรงเปลี่ยนแปลงแล้ว มาเรียยังคงเป็นมาเรียเมื่อก่อน แต่วันนี้พระเยซูชาวนาซาเร็ธได้เป็นขึ้นมาจากตาย หูของเมื่อก่อน ตาของเมื่อก่อน การรับรู้ของเมื่อก่อนถึงวันนี้ล้วนใช้การไม่ได้ วิธีของเมื่อก่อนสามารถใช้รู้จักพระเยซูที่อยู่ในโลกซึ่งอยู่ในรูปกายเลือดเนื้อได้ แต่ถ้าต้องการรู้จักพระเยซูที่เป็นขึ้นเป็นของฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายสวรรค์และเป็นอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ใช้ไม่ได้แล้ว ที่เปลี่ยนแปลงไม่ใช่มาเรีย ที่เปลี่ยนแปลงไปคือพระเยซู เพราะพระเยซูมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นมาเรียก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้วย จึงสามารถรู้จักพระเยซูที่ได้เปลี่ยนแปลงแล้ว มาเรียต้องมีการเปิดเผยอย่างใหม่จึงจะรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าในรูปลักษณะใหม่ได้

ภายหลัง “พระเยซูตรัสว่า ‘มาเรียเอ๋ย’ มาเรียก็หันมาทูลพระองค์ว่า ‘รับโบนี’ ประหลาดมาก เมื่อพระองค์ทรงเรียกชื่อเธอ มาเรียก็รู้จักพระองค์ การที่พระองค์เรียกชื่อเช่นนี้ก็คือการเปิดเผย อะไรคือการเปิดเผย? การเปิดเผยไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้ายืนอยู่ที่นั่นตรัสกับเธอว่าเราคือเยซู การเปิดเผยคือการที่ให้เธอรู้จักว่าพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างน่าประหลาดใจ ไม่ใช่เพราะพระเยซูร้องเรียกมาเรียคำหนึ่ง มาเรียจึงจำได้ว่าตัวเองชื่อมาเรีย แต่คือเมื่อพระเยซูตรัสว่ามาเรียเอ๋ย เธอจึงรู้ว่าท่านผู้นี้เป็นรับโบนี พระเยซูไม่ได้บอกเรื่องอะไรแก่เธอ พระเยซูเพียงเรียกว่ามาเรียเอ๋ย แต่ภายในมาเรียชัดเจนแล้ว ภายในรู้จักแล้ว นี่แหละเรียกว่าการเปิดเผย

ที่นี่เราต้องมองเห็นหลักการใหญ่เรื่องหนึ่ง ก็คือการเปิดเผยไม่ใช่อาศัยหู ไม่ใช่อาศัยตา และไม่ใช่อาศัยความสามารถในการรับรู้แล้วรู้จักได้ การเปิดเผยอาศัยสิ่งที่อัศจรรย์ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากหู ตา และความสามารถในการรับรู้ การรู้จักอย่างอัศจรรย์นี้จึงเรียกว่าการเปิดเผย

หลักจากที่มาเรียรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าที่นี่แล้ว ก็รีบวิ่งไปบอกสาวกของพระองค์ เมื่อพวกสาวกได้ยินแล้วต่างก็รู้สึกอัศจรรย์ใจ

การรู้จักที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

ของสาวกสองคนที่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเอ็มมาอู

หลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นแล้ว มีสองคนในท่านกลางสาวกออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเอ็มมาอู ระหว่างทางพวกเขาสนทนาถึงเรื่องที่ประสบพบมา ก็คือพูดถึงเรื่องที่มาเรียพูดเกี่ยวกับพระเยซู ขณะนั้นพระเยซูเสด็จมาใกล้พวกเขา แต่ตาของเขาพร่ามัวไป ไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นขึ้น พระเยซูในกายเลือดเนื้อของเมื่อก่อนนั้นพวกเขารู้จัก แต่วันนี้พระเยซูผู้เป็นขึ้นพวกเขาไม่รู้จัก พวกเขาคิดว่าการเป็นขึ้นจากตายเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด พวกเขาไม่อาจเชื่อ

พระเยซูจึงร่วมสนทนากับเขา เทศนาให้เขาฟังเริ่มต้นจากโมเซและบรรดาศาสดาพยากรณ์ ถ้อยคำทุกประการในพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ล้วนแต่อธิบายให้เขาเข้าใจ แต่พวกเขายังไม่รู้จักพระองค์ แม้พวกเขาจะฟังหลักธรรมในพระคัมภีร์เข้าใจแล้ว ทั้งมีความประทับใจ ภายในเกิดความเร่าร้อน แต่ก็ไม่รู้จักพระเยซู ประการนี้ให้เรามองเห็นว่าหลักธรรมกับการเปิดเผยนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาเข้าใจพระคัมภีร์ แต่พวกเขายังไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขารู้หลักธรรมเกี่ยวกับพระคริสต์ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าใครคือพระคริสต์

จนกระทั่งดวงอาทิตย์ใกล้จะตก เมื่อไปถึงหมู่บ้านเอ็มมาอู พวกเขาขอให้พระองค์พักอยู่ด้วย ขณะที่รับประทานอาหารนั้น พระเยซูทรงหักขนมปังแจกให้กับเขา ตาของเขาจึงสว่างขึ้น ตอนนี้จึงได้รู้จักพระองค์ เรื่องนี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า การรู้จักที่มนุษย์มีต่อพระเยซูนั้นมีสองแบบ การรู้จักแบบแรกคือพระคัมภีร์ให้กับมนุษย์ การรู้จักอีกแบบหนึ่งคือพระเยซูทรงเปิดตาของมนุษย์ให้มองเห็น บางคนอ่านพระคัมภีร์อย่างคล่องมาก ทั้งยังพูดให้คนอื่นฟังได้ด้วย แต่กลับไม่รู้จักพระเยซู บางคนไม่เพียงเข้าใจคำสอนในพระคัมภีร์ องค์พระผู้เป็นเจ้ายังเปิดตาของเขาให้เขารู้จักพระเยซู ทั้งสองแบบนี้แตกต่างกันมาก เราต้องรู้ว่าศาสนาคริสต์ไม่เพียงมีพระคัมภีร์ ศาสนาคริสต์ยังมีการเปิดเผยทางด้านส่วนตัว จริงอยู่ ถ้าไม่มีพระคัมภีร์ก็ไม่มีศาสนาคริสต์บนโลก แต่เราต้องจำไว้ว่าหากไม่มีการเปิดเผยทางด้านส่วนตัว เราก็ไม่มีพระคริสต์

ในท่ามกลางบุตรทั้งหลายของพระเจ้ามีปัญหาข้อนี้ การรู้จักมากมายนั้นเป็นการรู้ที่ถ่ายทอดกันมา – จากปากคนหนึ่งถ่ายทอดไปสู่หูอีกคนหนึ่ง จากความเข้าใจในสมองของคนหนึ่งประกาศไปยังหูอีกคนหนึ่ง ล้วนแต่ประกาศถ่ายทอดกันมา ดังนั้นจึงเป็นเพียงหลักธรรมคำสอน เราต้องจำไว้ว่าถ้าเพียงมีความรู้ในพระคัมภีร์แต่ไม่รู้จักพระเยซูนั้นไม่มีประโยชน์ สาวกสองคนที่ไปยังหมู่บ้านเอ็มมาอูนั้นรู้จักพระคัมภีร์ตั้งนานแล้ว ระหว่างทางองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสนทนากับเขา ขณะที่อธิบายพระคัมภีร์ให้กับเขานั้น ในใจของพวกเขาเร่าร้อน แต่เขายังไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า สำหรับพระองค์แล้วจะต้องมีการรู้จักภายในจึงเป็นการรู้จักที่แท้จริง ท่านมีการรู้จักภายในต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่?

การรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าของสาวกเจ็ดคน

วันหนึ่งซีโมนเปโตรกับโธมาที่เรียกชื่ออีกว่าดิดุโม และนะธันเอลชาวบ้านคานา มณฑลฆาลิลาย รวมทั้งบุตรชายสองคนของเซเบดาย และสาวกอีกสองคนมารวมอยู่ด้วยกัน เปโตรบอกพวกเขาว่า
“เราจะไปจับปลา” พวกเขาก็พูดว่า “เราจะไปด้วย” แต่ประหลาดมาก เมื่อก่อนจับปลาเก่ง ทว่าบัดนี้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วหันกลับไปจับปลาอีกกลับจับไม่ได้ พวกเขาจับทั้งคืนจับไม่ได้อะไรเลย ยิ่งประหลาดมากกว่านั้น ขณะที่ฟ้ากำลังสาง พระเยซูทรงยืนอยู่บนฝั่ง แต่เหล่าสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู โอ พระเยซูผู้เป็นขึ้น ไม่ใช่สายตาของมนุษย์รู้จักได แม้กระทั่งเปโตร โยฮัน ยาโกโบที่อยู่กับพระเยซูตลอดมา นะธันเอลผู้รู้จักกับพระเยซูก่อนใคร โธมาที่สงสัยการเป็นขึ้นของพระองค์ จนองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏให้เขามองเห็นเป็นพิเศษ แต่วันนี้พวกเขาต่างไม่รู้จักพระองค์เสียแล้ว พวกเขาต้องการประสบการณ์และฤทธิ์เดชอีกอย่างหนึ่งจึงสามารถรู้จักพระองค์ รอจนพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้างหรือ” พวกเขาทูลตอบว่า “ไม่มี” พระองค์จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงทอดอวนลงข้างขวาเรือเถิดและจะได้ปลา” เขาจึงทอดลง พอลากขึ้นมาก็ติดปลาเป็นอันมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ โยฮันสาวกที่เอนตัวลงที่พระทรวงขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงรู้ว่าเป็นพระองค์ และพูดกับเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อเปโตรได้ยินว่าเป็นพระองค์แล้วก็หยิบเสื้อชั้นนอกมาสวมกระโดดลงไปในทะเล เมื่อสักครู่นี้ เขาก็ได้ยินและได้เห็น แต่ไม่รู้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้รู้โดยฉับพลัน เป็นการรู้ที่น่าประหลาดมาก การรู้เช่นนี้ก็คือการเปิดเผย การรู้เช่นนี้ไม่หวั่นไหว คือภายในมองเห็น ภายในรู้จัก ภายในมีกำลัง การรู้เช่นนี้ให้กำลังอย่างใหม่แก่เปโตร

เมื่อพวกเขาขึ้นบนฝั่งแล้ว มองเห็นที่นั่นมีไฟถ่านติดอยู่ มีปลาวางบนไฟนั้นและมีขนมปังด้วย และพระเยซูตรัสว่า “เชิญมารับประทานอาหารเถิด” ในหมู่สาวกไม่มีใครอาจถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นผู้ใด?” เพราะเขารู้อยู่ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านรู้สึกไหมว่าคำพูดนี้ขัดแย้งกันมาก? ถ้าเขารู้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ต้องถามว่าพระองค์เป็นผู้ใด ทว่าเขาอยู่ที่นี่ไม่ใช่ไม่ถาม แต่ไม่กล้าถาม ไม่กล้าถามความหมายก็คือไม่รู้เพราะกลัวจึงไม่ถาม แต่ที่นี่กลับพูดว่าไม่มีคนกล้าถามว่าพระองค์เป็นผู้ใด และพูดด้วยว่าเพราะรู้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า กล่าวอีกได้ว่าภายนอกพวกเขาไม่รู้ แต่ภายในนั้นรู้ บุคคลผู้นี้คือผู้ใด ภายนอกพวกเขายังคงประหลาดใจ แต่ภายในรู้ว่าพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า มองรูปลักษณ์ของพระองค์ เราไม่รู้ ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ เราก็ไม่รู้ ว่าตามสมองแล้ว เราจะถามพระองค์ แต่ในใจเล่า ไม่ต้องถาม เพราะรู้ว่าพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ จะพูดว่าไม่รู้จักก็ไม่รู้จริง ๆ จะพูดว่ารู้แน่แล้วก็รู้แน่ชัดมาก นี่ก็คือประสบการณ์ของคริสเตียนจำนวนมาก มีเรื่องราวมากมายที่ท่านสัมผัสแล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องเช่นใด แต่อีกด้านหนึ่งก็ชัดเจนยิ่งขึ้น นี่เรียกว่าการเปิดเผย การเปิดเผยก็คือภายในชัดเจน การเปิดเผยคือภายในรู้ ดังนั้นผู้ที่ดำเนินประพฤติตามการเปิดเผยจึงมีสุขแล้ว ผู้ที่รู้จักกับองค์พระผู้เป็นเจ้าตามการเปิดเผยนั้นมีสุขแล้ว เพราะว่ามีเพียงคนเช่นนี้อยู่ต่อพระพักตร์องค์พระผู้เป็นจึงจะได้รับฤทธิ์เดช มีเพียงคนเช่นนี้อยู่ต่อพระพักตร์ของพระองค์จึงสามารถรู้สิ่งที่พระองค์กระทำได้

การรู้ภายนอกไม่อาจแทนทีการเปิดเผยภายใน เราทั้งหลายจะต้องมีการรู้จักภายในต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อภายในท่านมีการรู้จักแล้ว ก็ไม่มีใครทำให้ท่านหวั่นไหวได้ เราต้องทูลขอพระเจ้าเปิดตาของเรา ให้เราสามารถรู้ว่าตัวเราเองไม่มีวิธีที่จะรู้ได้ ถ้าอาศัยสมองของเรา หรืออาศัยหูตาของเราสามารถรู้ได้แต่เพียงพระเยซูที่อยู่ในรูปกายเลือดเนื้อ การรู้เช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อเรามากนัก การรู้เช่นนี้ไม่มีฤทธิ์เดชต่อเรามากนัก เราต้องทูลขอพระเจ้าโปรดนำพระบุตรของพระองค์เองมาเปิดเผยอยู่ภายใน ให้เราชัดเจนจากภายในและรู้จากภายใน ให้เรารู้ได้จากภายใน ให้ภายในเราไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อย

รู้จักพระเยซู Read More »

ใช่หรือไม่ว่าพระคุณ :

1.ให้กับผู้ที่สมควรได้รับ?
2.ช่วยเพิ่มเติมให้กับผู้ที่สมควรได้รับ?
3.เพราะมนุษย์ไม่สมควรได้รับก็ไม่ประทานให้?
4.เพราะมนุษย์ไม่สมควรได้รับจึงไม่ค่อยประทานให้?
5.ทำให้ผู้ที่ได้รับกลายเป็นลูกหนี้ (หนี้พระคุณ)?
6.ให้อภัยบาปกับคนบาปโดยตรง?
7.ให้อภัยบาปกับสิทธชนโดยตรง?

พระคัมภีร์กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ” (เอเฟโซ 2:8) ถ้าเช่นนั้น

1.พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำความดีแล้วจึงจะได้รับการช่วยใช่ไหม?

2.พระเจ้าต้องการให้มนุษย์กระทำในสิ่งที่ควรกระทำ แล้วจึงได้รับการช่วยใช่ไหม?

3.พระเจ้าสามารถไม่ช่วยมนุษย์เพราะเหตุมนุษย์กระทำไม่ดีได้ไหม?

4.พระเจ้าสามารถไม่ช่วยมนุษย์คนนี้เนื่องจากเขาเทียบกับมนุษย์คนนั้นไม่ได้ได้ไหม?

5.คำว่าตอบแทนพระคุณเป็นคำที่ถูกต้องแล้วใช่ไหม?

6.พระเจ้าสามารถที่จะพระเมตตาคนบาปผู้หนึ่ง แล้วให้อภัยบาปเขาเปล่า ๆ ได้ไหม?

7.พระเจ้าสามารถที่จะอภัยบาปของผู้เชื่อคนหนึ่งเปล่า ๆ เพราะเหตุทรงรักเขาได้ไหม?

ตอบ

มนุษย์เรามีข้อผิดพลาดใหญ่ข้อหนึ่งคือ ชอบใช้ความคิดของมนุษย์มาวัดน้ำพระทัยของพระเจ้า ใจของมนุษย์เราเป็นใจแห่งข้อกฎหมาย ไม่ใช่ใจแห่งพระคุณ และพวกเราก็มักจะคิดว่าพระทัยของพระเจ้าก็เหมือนกับใจของพวกเรา จึงทำให้เข้าใจพระทัยของพระเจ้าผิดไป

พวกเราจำต้องรู้ให้ชัดเจนว่าอะไรคือพระคุณ

1.พระคุณไม่ใช่ให้กับผู้ที่สมควรได้รับ โรม 4:4 กล่าวว่า “ฝ่ายคนที่ทำการนั้นก็ไม่ถือว่าค่าจ้างที่ได้นั้นเป็นบำเหน็จ (พระคุณ) แต่ถือว่าเป็นค่าจ้างสมกับการที่ได้ทำ” พูดในทางกลับกัน ทุกสิ่งที่ไม่ควรได้รับแต่กลับได้รับมา นั่นก็คือพระคุณ ถ้าหากสมควรได้รับก็ไม่ต้องการความหมายของพระคุณแล้ว ที่พระคุณสามารถเป็นพระคุณได้ ก็เพราะไม่มีส่วนของบุญคุณอยู่ในนั้น เอเฟโซ 2:8 กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ” เพราะว่าไม่สมควรได้รับการช่วยให้รอด แต่ก็ได้รับการช่วยให้รอดแล้ว ดังนั้นนี่คือพระคุณ โรม 3:24 “แต่พระเจ้าได้ทรงประทานพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดค่า” “ไม่คิดค่า” มีความหมายอย่างไร? “ไม่คิดค่า” ในภาษาเดิมกับคำว่า “ไม่มีเหตุ” ใน โยฮัน 15:25 พระเยซูตรัสว่า “เขาได้ชังเราโดยไม่มีเหตุ” เป็นคำเดียวกัน พระคุณของพระเจ้าให้มนุษย์ชอบธรรมโดยไม่คิดค่า ก็คือพระเจ้าให้มนุษย์ชอบธรรมโดยไม่มีเหตุผล “แต่พระคัมภีร์ได้กั้นเขตคนทั้งปวงไว้ในความผิด” (ฆะลาเตีย 3:22) “เพราะพระเจ้าได้ทรงปล่อยให้คนทั้งหลายอยู่ในฐานที่ไม่เชื่อฟัง” (โรม 11:32) พระเจ้าได้วางมนุษย์ไว้ในฐานะเดียวกัน ไม่มีใครคนไหนสามารถรอดได้โดยอาศัยการประพฤติ (ทำดี) ทุกคนต้องพึ่งพระคุณจึงจะรอด ถ้าหากท่านถามท่านเปาโลว่าเขาได้รับความรอดอย่างไร เขาจะต้องตอบว่า พึ่งในพระคุณของพระเจ้า ถ้าท่านไปถามสิทธชนที่มีทั้งหมดว่าได้รับความรอดอย่างไร พวกเขาล้วนต้องตอบว่า รอดโดยพึ่งพระคุณของพระเจ้า พระคุณก็คือพระเจ้าช่วยมนุษย์โดยไม่มีสาเหตุ

2.พระคุณไม่ใช่ส่วนที่เพิ่มเติมให้สำหรับผู้ที่สมควรได้รับ เอเฟโซ 2:9 กล่าวว่า “ความรอดนั้นเป็นด้วยการประพฤติก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้” นี่ไม่ใช่บอกว่าหลังจากที่ได้รับความรอดแล้วไม่ต้องประพฤติดี แต่คือพูดว่ามนุษย์ได้รับความรอดไม่ใช่โดยการประพฤติ ถ้ามนุษย์ได้รับความรอดโดยการประพฤติ มนุษย์ก็จะนำสิ่งนี้มาโอ้อวด ถ้าความรอดที่มนุษย์ได้รับมามี 3 ส่วนเพราะพึ่งการประพฤติ มนุษย์ก็จะโอ้อวดว่าได้กระทำไป 3 ส่วน พระเจ้าก็จะขาดสง่าราศีไป 3 ส่วน  ถ้าความรอดที่มนุษย์ได้รับมามี 1 ส่วนเพราะพึ่งการประพฤติ มนุษย์ก็จะโอ้อวดว่าได้กระทำไป 1 ส่วน พระเจ้าก็จะขาดสง่าราศีไป 1 ส่วน พระเจ้าไม่อาจแบ่งสง่าราศีกับมนุษย์ พระเจ้าชิงชังการโอ้อวดของมนุษย์ เป้าหมายของพระเจ้าคือต้องการได้รับสง่าราศี ดังนั้นพระคุณของพระเจ้าจะไม่ประทานให้เพราะบุคคลผู้นั้นสมควรได้รับ

พระคุณไม่ได้ให้กับผู้ที่สมควรได้รับ พระคุณก็ไม่ได้ให้มากไปกว่าที่สมควรได้รับ พระคุณไม่ใช่รางวัลแห่งความยุติธรรม พระคุณก็ไม่ใช่รางวัลพิเศษ พระคุณไม่ใช่ปัญหาที่จะมาถกเถียงกันว่าสมควรได้รับหรือไม่ การที่มนุษย์จะได้รับพระคุณ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องที่ว่าเหมาะสมหรือไม่ ดังนั้นเรื่องเหมาะสมอย่างมากหรือไม่เหมาะสมเลย ก็ไม่ใช่ประเด็นเช่นกัน ในเรื่องการได้รับการช่วยให้รอด มนุษย์ไม่สามารถใช้ความประพฤติของตัวเองแม้แต่เล็กน้อยมาต้อนรับพระคุณของพระเจ้า

หลายคนคิดว่า ถ้าเราไปกระทำดีจนสุดกำลัง พยายามรักษากฎหมายโดยสุดความสามารถ เมื่อทำไม่ได้แล้วค่อยมาพึ่งพระคุณของพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่แสดงว่า ส่วนหนึ่งพึ่งการปฏิบัติ ส่วนหนึ่งพึ่งพระคุณ ในอดีตมีคนหนึ่งกล่าวว่า “เราควรปฏิบัติตามบัญญัติ 10 ประการ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ได้รับความรอด” มีคนถามเขาว่า “ท่านได้ทำผิดบัญญัติหรือไม่?” เขาตอบ “ทำผิดแล้ว” คนนั้นถามว่า “ท่านทำผิดแล้วจะทำอย่างไร?” เขาตอบ “ทำไม่ได้ก็พึ่งพระคุณของพระเจ้า” ความคิดเช่นนี้ก็คือไม่เข้าใจพระคุณของพระเจ้า

มัดธาย 19 คนหนุ่มคนหนึ่งได้ถามพระเยซูว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำดีประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์” พระเยซูตรัสตอบว่า “ก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้” เขาตอบว่าเขาได้ถือรักษาไว้แล้วทุกข้อ แต่เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านปรารถนาเป็นผู้ดีรอบคอบ จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา” เขาก็กระทำไม่ได้แล้ว ถ้าคนหนึ่งต้องการได้รับการช่วยให้รอดโดยการประพฤติตามกฎหมาย ก็ต้องกระทำจนกระทั่ง “ถึงที่สุด” ไม่เพียงต้องรักพระเจ้าด้วยสุดใจ สุดจิต สุดความคิด สุดกำลัง ยังต้องนำสิ่งของที่มีอยู่ในบ้านทั้งสิ้นออกมา ขาดไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว ถ้าต้องการพึ่งพระคุณของพระเจ้า ก็ต้องพึ่งพิงอย่างหมดสิ้น ไม่ใช่มนุษย์ทำครึ่งหนึ่ง พระเจ้าทำอีกครึ่งหนึ่ง พระคุณของพระเจ้าไม่ใช่ค่อยเพิ่มเติมสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ เมื่อเป็นพระคุณของพระเจ้า ก็คือพระคุณของพระเจ้า ถ้าเป็นการกระทำของมนุษย์ ก็คือการกระทำของมนุษย์ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งพึ่งตัวเองกระทำ อีกส่วนหนึ่งพึ่งพระเจ้า

เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะเหตุว่าพระเยซูได้สิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าก็ได้วางมนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปไว้ในตำแหน่งเดียวกัน ขณะที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน พระเจ้า “ทรงให้บาปผิดทั้งหมดของพวกเราตกอยู่กับเขาผู้นั้น” (ยะซายา 53:6)ก็ได้จัดการปัญหาของความบาปแล้ว  ครั้งเดียวได้จัดการไปตลอดกาล ดังนั้นมนุษย์อยู่ต่อสายพระเนตรของพระเจ้าไม่สามารถพึ่งตนเองอีก ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการปฏิเสธการกระทำของพระองค์ ก็คือพูดได้ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์เปล่า ๆ

3.พระคุณไม่ใช่ไม่ประทานให้เพราะผู้นั้นไม่สมควรได้รับ (ข้อนี้คล้ายกับคำตอบในข้อ 1 แต่พูดกลับกันอีกด้านหนึ่ง) แต่เพราะมนุษย์ไม่ควรได้รับจึงมีพระคุณ คือขณะที่มนุษย์รู้ตัวว่าไม่สามารถพึ่งพิงตัวเองได้ หมดสิ้นหนทาง เขาจึงร้องเรียกหาพระคุณ และขณะเมื่อพระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์ไม่มีที่พึ่งพิง หมดหนทางแล้ว จึงประทานพระคุณมาให้ ถ้าหากมนุษย์มีความสามารถ เขาก็จะไม่คิดว่าต้องการพระคุณ พระองค์ก็ไม่ทรงประทานพระคุณให้ ดังนั้น “ไม่สมควรได้รับ” ไม่เพียงไม่อาจขัดขวางไม่ให้พระเจ้าประทานพระคุณ แต่กลับเป็นเงื่อนไขเดียวที่พระเจ้าประทานพระคุณให้

มีพี่น้องคนหนึ่งพูดว่า “พระคุณเป็นพระเมตตาที่ไม่มีจำกัด ปรากฏอยู่ในความดีงามที่ไม่จำกัด” พระคุณคืออะไร? พระคุณคือไหลจากบนลงล่าง   ความรักคืออะไร? ความรักคือความเท่าเทียมกัน ความยำเกรงคืออะไร? ความยำเกรงคือการต่อผู้ที่สูงกว่าท่าน พระคุณคือไหลจากบนลงล่าง พระคุณมีเพียงทิศทางเดียว ไหลลงสู่เบื้องล่าง ท่านต้องการได้รับพระคุณของพระเจ้า ท่านก็ต้องยอมรับว่าท่านเป็นคนบาปที่พึ่งพิงไม่ได้ เป็นคนบาปที่ไม่มีที่พึ่งพิง จึงจะทำให้ท่านมีคุณสมบัติที่จะได้รับพระคุณของพระเจ้า

คนมากมายชื่นชอบพระคุณมาก เพราะพระคุณเป็นหลักธรรมหนึ่งที่ช่วยให้มนุษย์นอบน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง พระคุณต้องการให้ท่านยอมรับว่าท่านเป็นคนไม่ดี แก้วชาที่คว่ำไม่สามารถรินชาลงไปได้ฉันใด ก็ไม่มีมนุษย์ที่เย่อหยิ่งคนใดจะยินยอมรับพระคุณฉันนั้น เราจำต้องยอมรับว่าเราเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ จึงจะสามารถต้อนรับพระคุณของพระเจ้า

4.พระคุณไม่ใช่เพราะมนุษย์ไม่สมควรได้รับจึงประทานให้น้อย (ข้อนี้เป็นปัญหาที่ตรงข้ามกับ ข้อ 2) พระเจ้าไม่ได้ละเลยปัญหาความบาปของมนุษย์ พระเจ้าทรงเข้มงวดอย่างยิ่ง และชัดเจนอย่างมาก ทั้งทรงจัดการกับปัญหาความบาปของมนุษย์อย่างถึงที่สุดด้วย พระองค์ได้อาศัยพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาจัดการปัญหาความบาปของมนุษย์อย่างหมดสิ้นแล้ว เช่นนี้ มนุษย์ยังมีอะไรที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เหมาะสมมากหรือเหมาะสมน้อยอีก? พระคุณของพระเจ้าไม่ได้มองเรื่องความ “เหมาะสม” ของมนุษย์ ในสายพระเนตรของพระเจ้ามนุษย์ล้วนเหมือนกัน ล้วนเพียงพอได้รับพระคุณของพระเจ้า

พระเจ้าจะไม่คำนึงถึงว่ามนุษย์ไม่เหมาะสมแล้วไม่ประทานพระคุณให้ แต่กลับกันเพราะเหตุมนุษย์ไม่เหมาะสมจึงประทานพระคุณให้ พระเจ้าจึงไม่สามารถที่จะไปแบ่งแยกว่าในท่ามกลางมนุษย์ที่ไม่เหมาะสม มีใครที่เหมาะสมมาก ใครเหมาะสมน้อย และให้ผู้ที่เหมาะสมมากได้ครับพระคุณมาก ให้ผู้ที่ไม่ค่อยเหมาะสมได้รับพระคุณน้อย

พระเจ้าไม่สามารถเพราะมนุษย์มีความบาปมากก็ประทานพระคุณให้น้อย หรือมนุษย์มีความบาปน้อยก็ประทานพระคุณให้มาก อีกทั้งเดิมทีพระคุณก็ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าใช้มาซ่อมเสริมข้อบกพร่องคนบาปด้วย ตัวของมนุษย์ที่มีบาปเป็นอย่างไร ประพฤติดีหรือชั่วมากน้อยเพียงใด ล้วนแต่วางไว้อีกด้านหนึ่ง

เมื่อพระคุณคือพระคุณ ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับผู้ที่ได้รับพระคุณ ไม่ใช่เพราะผู้ได้รับพระคุณมีเหตุผลใดจึงได้รับพระคุณ พระคุณก็ไม่ใช่เพราะเหตุผู้นั้นไม่เหมาะสมจึงไม่ประทานให้ พระคุณจะไม่เกี่ยวข้องกับสภาพการณ์ของผู้ได้รับพระคุณเลย พระคุณจึงตัดส่วนที่จะมาค่อยดูว่าผู้ได้รับเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมออกไปได้ ไม่เช่นกันก็จะเอาประเด็นสภาพการณ์ของผู้ได้รับพระคุณมาเป็นเงื่อนไขอีก การประทานพระคุณไม่ได้ให้เพราะว่าผู้นั้นเป็นอย่างไร และก็ไม่ใช่ให้เพราะผู้นี้เปรียบเทียบกับผู้นั้นแล้วดีกว่ากันอย่างไร พระคุณของพระเจ้ายิ่งใหญ่ไพศาล เพื่อคนบาปทุกประเภท ผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี หรือผู้ที่ผู้อื่นมองว่าชั่วช้าเลวทรามอย่างมาก ล้วนแต่เป็นผู้ที่ต้องการพระคุณของพระเจ้าเหมือนกัน

อาจจะมีคนคิดว่า คนที่ดูดีหน่อยน่าจะเป็นผู้ที่เหมาะสมได้รับมากกว่า แต่พระเจ้าทรงมองว่าล้วนเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น มีถ้วยหลายใบตกแตกอยู่บนพื้น บ้างใบแตกเป็นสองซีก บ้างใบแตกออกเป็นห้าซีก บ้างใบแตกละเอียดเลย แม้ว่าสภาพที่แตกนั้นจะต่างกัน แต่ก็คือแตกเหมือนกัน ท่านอาจจะเป็นคนบาปที่ดูดีหน่อยก็ดี หรือเป็นคนบาปที่ชั่วร้ายก็ตาม ท่านก็คือคนบาปนั่นเอง พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่ามนุษย์ล้วนเป็นคนบาป ดังนั้นพระเจ้าได้ให้พระเยซูมาตายแทนคนบาป ให้คนบาปทุกคนมีหนทางได้รับการช่วยให้รอด ถ้าในโลกนี้มีเพียงคนเดียวที่ต้องการการช่วยให้รอด พระเจ้าก็ยังคงใช้พระบุตรของพระองค์ลงมาตายแทนเขา อุปมาของผู้เลี้ยงแสวงหาแกะที่หลงหายไป ไม่ใช่ละ 99 ตัวไว้แล้วไปหาแกะ 1 ตัวที่หลงหายไปหรือ? (ลูกา 15:3-4) ไม่ว่าท่านจะเป็นคนบาปมากหรือน้อย ขอเพียงท่านเป็นแกะที่หลงหายไปตัวนั้น ก็ต้องการให้พระเยซูมาตายแทนท่าน

5.พระคุณไม่ได้ทำให้ผู้ที่ได้รับกลายเป็นลูกหนี้ (บุญคุณ) ความหมายของหนี้ก็คือ มีคนให้เงินท่านจำนวนหนึ่งไปใช้สอยก่อน ภายหลังจำต้องคืนให้ครบตามจำนวนที่รับไป ส่วนค่าจ้างเป็นเงินที่มอบให้จากผลงานที่ท่านลงแรงทำ แต่พระคุณไม่ใช่มอบให้โดยดูจากผลงานที่ท่านลงแรงทำ พระคุณก็ไม่เหมือนกับหนี้ที่มอบให้ท่านไปใช้ก่อนชั่วคราว แล้วภายหลังจำต้องนำมามอบคืน พระเจ้าได้อาศัยพระคุณมาช่วยพวกเรา ที่เราทั้งหลายได้รับการช่วยให้รอดไม่ใช่พระเจ้าให้เครดิตกับเราก่อน ถ้าหากเป็นการให้เครดิตเราก่อน ต่อไปภายหน้าเราก็จำต้องคืนกลับไป ก็ไม่ใช่พระคุณ พระคุณก็ไม่ใช่ว่าพระเจ้ามองดูแล้วตอนนี้การกระทำของเราไม่มีผลงานอะไรที่พอจะรับพระคุณได้ จึงให้เครดิตช่วยเราให้รอดก่อน ภายหลังเราถึงค่อยใช้ผลงานที่เรากระทำไปทดแทนการช่วยให้รอดที่เราได้รับ พระคุณไม่มีมูลค่าในอดีต พระคุณก็ไม่มีมูลค่าในปัจจุบัน และพระคุณก็ไม่มีมูลค่าในอนาคตเช่นกัน ถ้าหากปัจจุบันพระเจ้าประทานอะไรให้กับเรา แล้วภายหน้าต้องให้เราชดใช้คืน นี่ก็จะเป็นเรื่องของการชดใช้หนี้แล้ว ไม่ใช่เรื่องของพระคุณ พระคุณของพระเจ้าทรงประทานให้กับผู้ที่ไม่สมควรได้รับทุกคน ไม่มีมูลค่าทั้งในอดีต ปัจจุบัน และก็ไม่มีการชดใช้คืนในอนาคตด้วย

มนุษย์มีความคิดที่ไม่ถูกต้องอันหนึ่ง : การได้รับการช่วยให้รอดนั้นพึ่งพระคุณ แต่การรักษาไว้ซึ่งการช่วยให้รอดนี้จะต้องพึ่งตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ผิดพลาด พระคัมภีร์ไม่เคยกล่าวเลยว่า พระคุณของพระเจ้ากระทำให้เราเป็นหนี้ โรม 6:23 กล่าวว่า “…แต่ของประทานของพระเจ้าก็คือชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” ชีวิตนิรันดร์มีคุณลักษณะอย่างไร? ก็คือเป็นของประทานอันหนึ่ง “ของประทาน” ยังสามารถแปลได้ว่า “ของสมนาคุณ” “ของขวัญ” “ของตอบแทน” หรือพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ของประทานก็คือสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ แล้วสิ่งที่มอบให้ ต้องมีการนำมาคืนหรือไม่? ดังนั้นเราต้องมีความชัดเจน พระคุณไม่ใช่เงินกู้ยืม ไม่จำเป็นต้องใช้คืน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่ต้องใช้คืน แต่นี่ก็ไม่ได้พูดว่าคริสเตียนไม่ต้องมีการประพฤติที่ดี ไม่ต้องสัตย์ซื่อในการปรนนิบัติพระเจ้า หลังจากคนผู้หนึ่งได้รับการช่วยให้รอด ก็ควรมีการประพฤติที่ดี และก็ต้องสัตย์ซื่อในการปรนนิบัติพระเจ้า แต่ทว่าสิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้กระทำก็คือความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้า แรงผลักดันเหล่านี้ล้วนเกิดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นที่เราประพฤติดี สัตย์ซื่อปรนนิบัติพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อต้องการได้รับการช่วยให้รอด และก็ไม่ใช่เพื่อรักษาการช่วยให้รอดไว้ การประพฤติหลังจากได้รับการช่วยให้รอดของคริสเตียนไม่ใช่เพื่อชดใช้หนี้ที่พระองค์ได้ให้เครดิตเราโดยการช่วยเราให้รอดก่อน พระเจ้าได้ทรงรักเราทั้งหลายและทรงช่วยเหลือเราทั้งหลายอย่างไร เราก็ควรจะปรนนิบัติเพราะเหตุรักพระองค์เช่นกัน พระเจ้าได้ทรงช่วยเราให้ได้รับความรอดไม่ใช่เพื่อให้เราเป็นหนี้ เราทั้งหลายสัตย์ซื่อปรนนิบัติพระองค์ก็ไม่ใช่เพื่อชดใช้หนี้เช่นกัน

หลายคนไม่เข้าใจพระคุณของพระเจ้า คิดว่าพระคุณของพระเจ้าเป็นเพียงเรื่องก่อนที่ท่านจะได้รับความรอด ท่านไม่เหมาะสม แต่พระเจ้าทรงยอมช่วยท่าน แล้วหลังจากท่านได้รับความรอดแล้ว ก็จะต้องประพฤติตัวให้ดี พระเจ้าจึงจะไม่เอาการช่วยให้รอดกลับไปจากท่าน วิธีนี้คล้ายกับการแบ่งจ่ายค่าสินค้าเป็นงวด ๆ สินค้านั้นถูกนำไปใช้ก่อน แล้วค่อย ๆ แบ่งจ่ายค่าสินค้าเป็นงวด ๆ ถ้าถึงเวลาแล้วไม่สามารถจ่ายค่างวดได้ ฝ่ายผู้ขายก็จะเรียกเก็บสินค้ากลับคืนไป การพูดเช่นนี้เป็นการบิดเบือนพระคุณของพระเจ้า เวลาที่พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับเราหลังจากได้รับความรอด พระองค์ไม่ใช่ต้องการให้เราไปจ่ายคืนตามเวลาที่กำหนด และพระเจ้าก็ไม่ริบชีวิตนิรันดร์คืนไป เพราะเหตุท่านประพฤติตัวไม่ดีหลังจากได้รับความรอดแล้วด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อชีวิตนิรันดร์เป็นของที่ประทานให้แล้ว ก็ไม่จำต้องพูดถึงเรื่องการตอบแทนกลับคืนไปอีก การตอบแทนกลับคืนก็เป็นการเข้าใจผิดพลาดอีกอย่างเช่นกัน พวกเรามาปรนนิบัติพระเจ้าก็เพราะเหตุความรัก ตัวอย่างเช่น คุณพ่อของข้าพเจ้าส่งของขวัญชิ้นหนึ่งมาให้ ข้าพเจ้าก็พูดว่าข้าพเจ้าจะตอบแทนคุณพ่อ แล้วก็พยายามหาเงินมาตอบแทนตามราคาของขวัญที่คุณพ่อซื้อมาให้ในวันนั้น ที่ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ ไม่ใช่เท่ากับว่าข้าพเจ้าได้ซื้อของขวัญชิ้นนั้นหรือ? พระคุณไม่ต้องการการตอบแทนเป็นนิตย์ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ใช่พระคุณ

6.พระคุณไม่ได้ให้อภัยบาปมนุษย์โดยตรง ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ผู้เชื่อใหม่มากมายเข้าใจผิด คิดว่าที่พระเจ้าอภัยบาปของคนบาป เป็นเพราะพระเจ้ามีพระทัยกว้างใหญ่ ไม่มีเรื่องเช่นนี้ พระเจ้าอภัยบาปให้กับมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้าต้องการเอาใจมนุษย์ หรือพระเจ้าทำเป็นหูหนวก หรือพระเจ้าปล่อยปละละเลย เพราะว่าพระคัมภีร์ไม่เคยกล่าวไว้เช่นนี้ โรม 5:21 ได้กล่าวไว้ว่า “เพื่อว่าความผิดได้ครอบงำถึงความตายฉันใด พระกรุณาก็จักได้ครอบงำโดยความชอบธรรมให้เกิดมีชีวิตนิรันดร์โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลายฉันนั้น” ความผิดนั้นได้ครอบงำตัวเอง แต่พระคุณนั้นได้ครอบงำโดยความชอบธรรม พระคุณไม่ได้ครอบงำตัวเอง พวกเราจำต้องรู้ว่า พระเจ้าไม่เพียงมีพระคุณ พระเจ้ายังมีความชอบธรรมด้วย พระเจ้าไม่เพียงชื่นชอบให้มนุษย์ได้รับการช่วยให้รอด พระเจ้าก็ชื่นชอบที่จะใช้ความชอบธรรมมาปกปักการช่วยมนุษย์ให้ได้รับความรอดด้วย ความหมายที่พระเจ้าประทานพระคุณให้กับมนุษย์ ไม่ใช่เพราะพระทัยของพระเจ้ากว้างใหญ่ อภัยความบาปของเราผ่าน ๆ ไป แต่เป็นเพราะพระองค์ได้ทรงดำเนินจัดการปัญหาความบาปของเราไปหมดสิ้นแล้ว ให้เราสามารถได้รับการช่วยให้รอด ถ้าหากเราเข้าใจผิดไป คิดว่าพระคุณของพระเจ้าเป็นเพียงพระทัยที่กว้างใหญ่ของพระเจ้า ไม้กางเขนของพระคริสต์ก็เปล่าประโยชน์แล้ว ไม่มีความหมายใด ถ้าหากไม่มีความรักของพระเจ้า ก็ไม่มีกางเขนของพระคริสต์ แต่ถ้ามีความรักของพระเจ้า แล้วไม่มีความชอบธรรม ก็ย่อมไม่มีกางเขนของพระคริสต์เป็นแน่ พระเจ้าทรงทราบว่าเรามีบาป พระเจ้าไม่อาจปล่อยปละความบาปนี้ไป พวกเราเองก็ไม่มีวิธีการที่จะจัดการกับความบาปนี้ได้ พระเจ้าได้ให้พระบุตรของพระองค์เองมาตรึงตายบนไม้กางเขนแบกความบาปแทนของเรา ความทุกข์ยากเพียงครั้งเดียวได้จัดการปัญหาความบาปไปหมดสิ้น นี่ก็คือพระคุณของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้าได้จัดการปัญหาของความบาปก่อน จากนั้นจึงอภัยบาป ดังนั้นจึงต้องให้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาตายแทนเรา เราจึงสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้

การที่คนบาปคนหนึ่งกลายเป็นคนบาปก็เพราะ 1.การประพฤติของเขาไม่ดี 2.ชีวิตธรรมชาติของเขาเสื่อมเสีย 3.พระเจ้าทรงตัดสินตามกฎอันชอบธรรมของพระองค์ พระเจ้าทรงช่วยคนบาปคนหนึ่งให้รอดก็โดย 1.อภัยความบาปที่เขาประพฤติไม่ดี 2.ให้เขาบังเกิดใหม่ ให้ชีวิตใหม่แก่เขา 3.นับว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม บัดนี้พระองค์ได้ทรงรับโทษแห่งความบาปแล้ว ได้ทรงตายแทนเราแล้ว ดังนั้นพระเจ้าจำต้องอภัยบาปของเรา มีบางคนคิดว่าต้องทูลวิงวอนขออย่างทุกข์ทรมานจนพระองค์พระทัยอ่อน นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด ที่พวกเราสามารถได้รับการอภัย ก็เพราะพระเจ้าได้ทรงแสดงพระพิโรธ นำความบาปของพวกเราวางไว้บนตัวของพระเยซูหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราสามารถพูดได้ว่า ขอบพระคุณสรรเสริญพระเจ้า พระเยซูได้ทรงรับการพิพากษาแล้ว โดยความชอบธรรมสามารถลงโทษได้เพียงครั้งเดียว ไม่อาจลงโทษได้อีกแล้ว

7.พระคุณของพระเจ้าก็ไม่ใช่ยกโทษบาปของผู้เชื่อโดยตรง เหตุผลในข้อนี้ก็เหมือนกับที่กล่าวถึงในข้อ 6 หลังจากคริสเตียนคนหนึ่งได้รับความรอด อาจจะกระทำความผิดบาปเป็นครั้งคราว ภายหลังกลับใจเสียใหม่ ซึ่งก็ไม่ต้องถึงขั้นทูลวิงวอนขอด้วยความทุกข์ทรมาน ด้วย และก็ไม่ใช่ขอให้พระเจ้าทรงช่วยตอนนี้ แต่คือเชื่อว่าพระคริสต์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว พระเจ้าทรงชอบธรรม พระเยซูได้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าจำต้องให้อภัยกับผู้ที่ต้อนรับพระคุณการช่วยให้รอดนี้ ดังนั้นถ้าหากคริสเตียนได้เผลอกระทำความผิดบาป 1.สารภาพความผิดบาปของตัวเอง ก็จะได้รับการอภัย (1โยฮัน 1:9) 2.ไม่ว่าความผิดบาปใด ก็จะทรงชำระให้หมดสิ้น (1โยฮัน 1:7,9) (สนใจ : “ชำระ…ให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น” “ชำระ…พ้นจากอธรรมทั้งสิ้น” ก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง) 3.ขณะที่ท่านยังไม่สารภาพความผิดบาป พระเจ้าได้ทรงยินยอมอภัยบาปให้แก่ท่านแล้ว เพราะว่าพระเยซูได้ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือเราอยู่ต่อหน้าพระเจ้า” (1โยฮัน 2:1-2) 4.พระเจ้าทรงอภัยและชำระความผิดบาปเช่นนี้ ด้านหนึ่งเพราะพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม อีกด้านหนึ่งเพราะพระเยซูทรงเป็นผู้ชอบธรรม

—–วอท์ชแมน นี

 

ถามตอบ ปัญหากิตติคุณ – ปัญหาที่ 1 พระคุณ Read More »

Scroll to Top