-รู้จักในเนื้อหนังกับรู้จักในวิญญาณ
____________________________________
ข้อพระคัมภีร์
โยฮัน 20:11-18 “ฝ่ายมาเรียยืนร้องไห้อยู่ข้างนอกอุโมงค์ เมื่อกำลังร้องไห้อยู่ เขาก้มลงมองดูในอุโมงค์ และได้เห็นทูตสวรรค์สององค์ทรงเสื้อขาวนั่งอยู่เบื้องพระเศียรองค์หนึ่ง เบื้องพระบาทองค์หนึ่ง ในที่ที่พระศพของพระเยซูได้ประดิษฐานไว้ ทูตทั้งสองนั้นจึงพูดกับมาเรียว่า ‘สตรีเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?’ มาเรียจึงตอบว่า ‘เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหนข้าพเจ้าไม่รู้’ เมื่อมาเรียพูดอย่างนั้นแล้ว จึงหันตัวกลับเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่ และมิได้รู้ว่าเป็นองค์พระเยซู พระเยซูตรัสแก่เขาว่า ‘สตรีเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? มาหาผู้ใด?’ มาเรียสำคัญว่าเป็นคนเฝ้าสวนจึงพูดกับพระองค์ว่า ‘นายเจ้าข้า ถ้าท่านได้เอาพระองค์ไป ขอบอกดิฉันให้รู้ว่าท่านเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน และดิฉันจะรับพระองค์ไป’ พระเยซูตรัสว่า ‘มาเรียเอ๋ย’ มาเรียก็หันมาทูลพระองค์ว่า ‘รับโบนี’ ซึ่งแปลว่าอาจารย์ พระเยซูตรัสแก่มาเรียว่า ‘อย่ายึดหน่วงเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพี่น้องของเราบอกเขาว่า เราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของท่านทั้งหลาย และจะไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย’ มาเรียมัฆดาลาจึงไปบอกเหล่าสาวกว่า ‘ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์แล้ว’ และพระองค์ได้ตรัสคำอย่างนั้นแก่เขา”
ลูกา 24:13-16 “นี่แน่ะ วันนั้นเองมีศิษย์สองคนไปยังหมู่บ้านเอ็มมาอู ไกลจากกรุงยะรูซาเลมประมาณสองร้อยแปดสิบเส้น เขาสนทนากันถึงเหตุการณ์ซึ่งได้เป็นไปนั้น และเมื่อเขากำลังสนทนาไต่ถามกันอยู่ พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ดำเนินไปกับเขา แต่ตาเขาฟางไปและจำพระองค์ไม่ได้”
ลูกา 24:25-32 “พระองค์ตรัสแก่สองคนนั้นว่า ‘โอ คนหาความคิดมิได้ และมีใจเฉื่อยในการเชื่อบรรดาคำซึ่งพวกศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้นั้น จำเป็นซึ่งพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้น แล้วเข้าในรัศมีภาพของพระองค์มิใช่หรือ’ พระองค์จึงเริ่มกล่าวเรื่องตั้งต้นแต่โมเซและบรรดาศาสดาพยากรณ์ อธิบายให้เขาฟังในคัมภีร์ทั้งหมดซึ่งเขียนไว้เล็งถึงพระองค์ เมื่อเขามาใกล้หมู่บ้านที่จะไปนั้น พระองค์กระทำอาการเหมือนจะทรงดำเนินเลยไป เขาจึงพูดหน่วงเหนี่ยวพระองค์ว่า ‘เชิญท่านหยุดพักกับเรา เพราะว่าจวนเย็นแล้ว และวันก็ล่วงไปมาก’ พระองค์จึงเสด็จเข้าไปเพื่อพักอยู่กับเขา ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงนั่งรับประทานอาหารกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปังโมทนาขอบพระคุณแล้วหักส่งให้เขา ตาของเขาก็หายฟางและเขาก็รู้จักพระองค์ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา เขาจึงพูดกันว่า ‘ใจของเราเร่าร้อนภายในเราเมื่อพระองค์ทรงพูดกับเราที่กลางทาง และเมื่อพระองค์อธิบายคัมภีร์ให้แก่เรามิใช่หรือ”’
โยฮัน 21:1-14 “ภายหลังเหตุการณ์เหล่านั้น พระเยซูได้ทรงสำแดงพระองค์แก่เหล่าสาวกอีกที่ทะเลติเบเรีย ได้สำแดงพระองค์อย่างนี้ คือซีโมนเปโตรและโธมาที่เรียกว่าดิดุโมและนะธันเอลชาวบ้านคานามณฑลฆาลิลาย และบุตรทั้งสองของเซเบดายและสาวกอีกสองคนอยู่พร้อมกัน ซีโมนเปโตรบอกเขาว่า ‘เราจะไปจับปลา’ สาวกอื่น ๆ นั้นจึงว่า ‘เราจะไปด้วย’ เขาทั้งหลายลงเรือพากันไป และในคืนวันนั้นเขาไม่ได้ปลาเลย ครั้นรุ่งเช้าพระเยซูทรงยืนอยู่ที่ฝั่ง แต่เหล่าสาวกมิได้รู้ว่าเป็นองค์พระเยซู พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า ‘ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้างหรือ’ เขาทูลตอบว่า ‘ไม่มี’ พระองค์จึงตรัสสั่งเขาว่า ‘จงทอดอวนลงข้างขวาเรือเถิดและจะได้ปลา’ เขาจึงทอดลงติดปลาเป็นอันมากจนลากอวนขึ้นไม่ได้ สาวกคนนั้นที่พระเยซูทรงรักจึงบอกเปโตรว่า ‘เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เมื่อเปโตรได้ยินว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจึงหยิบเสื้อชั้นนอกมาสวมเพราะตัวเปล่าอยู่แล้วกระโดดลงในทะเล สาวกอื่น ๆ นั้นมาเรือเล็กลากอวนที่ติดปลานั้น เพราะไม่สู้ไกลจากฝั่ง ไกลประมาณห้าสิบวาเท่านั้น เมื่อเขาขึ้นบนฝั่งแล้วก็เห็นไฟถ่านติดอยู่มีปลาวางบนไฟนั้น และมีขนมปังด้วย พระเยซูตรัสแก่เขาว่า ‘จงเอาปลาที่ท่านได้เดี๋ยวนี้มา’ ซีโมนเปโตรจึงไปลากอวนขึ้นฝั่งเต็มด้วยปลาใหญ่ร้อยห้าสิบสามตัว ถึงมากอย่างนั้นอวนมิได้ขาด พระเยซูตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า ‘เชิญมารับประทานอาหารเถิด’ ในหมู่สาวกไม่มีใครอาจถามพระองค์ว่า ‘ท่านเป็นผู้ใด?’ เพราะเขารู้อยู่ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูทรงดำเนินเข้ามาทรงหยิบขนมปังกับปลาแจกให้เขาทั้งหลาย นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่เหล่าสาวกภายหลังพระองค์ทรงคืนพระชนม์แล้ว”
ตั้งแต่พระเยซูเป็นขึ้นจากตายจนถึงทุกวันนี้ มนุษย์มีการรู้จักพระเยซูต่างกันสองอย่าง การรู้จักอย่างหนึ่งเรียกว่าการรู้จักพระเยซูในเนื้อหนัง และการรู้จักอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า การรู้จักพระเยซูในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปาโลกล่าวว่า “เหตุฉะนั้นตั้งแต่นี้ไปเราจะไม่รู้จักคนใดตามเนื้อหนัง แม้ว่าเมื่อก่อนเราได้รู้จักพระคริสต์ตามเนื้อหนังก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่รู้จักพระองค์เช่นนั้นอีก” (2กธ.5:16) และกล่าวอีกว่า “พระเจ้า… เอาตัวของข้าพเจ้าเป็นที่สำแดงพระบุตรของพระองค์” (ฆต.1:15-16) ประการนี้ให้เรามองเห็นว่าวันนี้เราควรจะอาศัยสิ่งใดมารู้จักพระเยซู บัดนี้เราขอยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมสองสามเรื่องในพระคัมภีร์ เพื่อมาดูว่าการรู้จักพระเยซูสองแบบนั้นแท้จริงเป็นเรื่องเช่นใด
การรู้จักที่มาเรียมัฆดาลามีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
ขณะที่มาเรียมัฆดาลายืนร้องไห้อยู่ภายนอกอุโมงค์ที่ฝังพระเยซู “ทูตทั้งสองนั้นจึงพูดกับมาเรียว่า ‘สตรีเอ๋ย ร้องไห้ทำไม’ มาเรียจึงตอบว่า ‘เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ข้าพเจ้าไม่รู้’ เมื่อมาเรียพูดอย่างนั้นแล้ว จึงหันตัวกลับเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่และมิได้รู้ว่าเป็นองค์พระเยซู” ที่น่าแปลกก็อยู่ตรงนี้เอง เมื่อเธอหันตัวกลับมามองเห็นพระเยซูที่เธอได้เห็นและติดตามมาหลายปี เธอกลับไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู เพราะเหตุใดพระเยซูที่เธอรู้จักมาโดยตลอด แต่ถึงวันนี้เธอกลับไม่รู้จักเลย? เพราะว่าพระบุตรของพระเจ้าในกายเลือดเนื้อนั้นได้ถูกตรึงบนไม้กางเขนและเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว วันนี้กายที่เธอหวังว่าจะพบนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดังนั้นทุกคนที่รู้จักพระองค์ตามเนื้อหนัง หลังจากพระองค์เป็นขึ้นแล้วจะไม่อาจรู้จักพระองค์อีก วันนี้พระองค์ไม่ใช่พระเยซูผู้ที่เธอรู้จัก แต่เป็นพระเยซูที่เธอไม่รู้จัก วันนี้พระองค์ไม่ใช่พระเยซูที่อยู่ในกายเลือดเนื้อ แต่เป็นพระเยซูที่เป็นอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เดิมเธอสามารถอาศัยเนื้อหนังรู้จักได้ แต่วันนี้ใช้วิธีนี้ไม่อาจรู้จักแล้ว
“พระเยซูตรัสแก่เขาว่า ‘สตรีเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? มาหาผู้ใด?’ มาเรียสำคัญว่าเป็นคนเฝ้าสวนจึงพูดกับพระองค์ว่า ‘นายเจ้าข้า ถ้าท่านได้เอาพระองค์ไป…’” หูตาของมาเรียไม่ว่องไวเสียแล้ว เมื่อก่อนเธอใช้หูรู้จักพระองค์ วันนี้หูของเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลง จึงไม่อาจใช้มารู้จักพระเยซูอีก เมื่อก่อนตาของเธอเมื่อมองดูก็รู้ว่าพระองค์เป็นผู้ใด วันนี้ตาของเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ตาสองข้างนี้ไม่รู้จักพระเยซูแล้ว วันนี้เธอไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่พระเยซูชาวนาซาเร็ธทรงเปลี่ยนแปลงแล้ว มาเรียยังคงเป็นมาเรียเมื่อก่อน แต่วันนี้พระเยซูชาวนาซาเร็ธได้เป็นขึ้นมาจากตาย หูของเมื่อก่อน ตาของเมื่อก่อน การรับรู้ของเมื่อก่อนถึงวันนี้ล้วนใช้การไม่ได้ วิธีของเมื่อก่อนสามารถใช้รู้จักพระเยซูที่อยู่ในโลกซึ่งอยู่ในรูปกายเลือดเนื้อได้ แต่ถ้าต้องการรู้จักพระเยซูที่เป็นขึ้นเป็นของฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายสวรรค์และเป็นอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ใช้ไม่ได้แล้ว ที่เปลี่ยนแปลงไม่ใช่มาเรีย ที่เปลี่ยนแปลงไปคือพระเยซู เพราะพระเยซูมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นมาเรียก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้วย จึงสามารถรู้จักพระเยซูที่ได้เปลี่ยนแปลงแล้ว มาเรียต้องมีการเปิดเผยอย่างใหม่จึงจะรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าในรูปลักษณะใหม่ได้
ภายหลัง “พระเยซูตรัสว่า ‘มาเรียเอ๋ย’ มาเรียก็หันมาทูลพระองค์ว่า ‘รับโบนี’ ประหลาดมาก เมื่อพระองค์ทรงเรียกชื่อเธอ มาเรียก็รู้จักพระองค์ การที่พระองค์เรียกชื่อเช่นนี้ก็คือการเปิดเผย อะไรคือการเปิดเผย? การเปิดเผยไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้ายืนอยู่ที่นั่นตรัสกับเธอว่าเราคือเยซู การเปิดเผยคือการที่ให้เธอรู้จักว่าพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างน่าประหลาดใจ ไม่ใช่เพราะพระเยซูร้องเรียกมาเรียคำหนึ่ง มาเรียจึงจำได้ว่าตัวเองชื่อมาเรีย แต่คือเมื่อพระเยซูตรัสว่ามาเรียเอ๋ย เธอจึงรู้ว่าท่านผู้นี้เป็นรับโบนี พระเยซูไม่ได้บอกเรื่องอะไรแก่เธอ พระเยซูเพียงเรียกว่ามาเรียเอ๋ย แต่ภายในมาเรียชัดเจนแล้ว ภายในรู้จักแล้ว นี่แหละเรียกว่าการเปิดเผย
ที่นี่เราต้องมองเห็นหลักการใหญ่เรื่องหนึ่ง ก็คือการเปิดเผยไม่ใช่อาศัยหู ไม่ใช่อาศัยตา และไม่ใช่อาศัยความสามารถในการรับรู้แล้วรู้จักได้ การเปิดเผยอาศัยสิ่งที่อัศจรรย์ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากหู ตา และความสามารถในการรับรู้ การรู้จักอย่างอัศจรรย์นี้จึงเรียกว่าการเปิดเผย
หลักจากที่มาเรียรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าที่นี่แล้ว ก็รีบวิ่งไปบอกสาวกของพระองค์ เมื่อพวกสาวกได้ยินแล้วต่างก็รู้สึกอัศจรรย์ใจ
การรู้จักที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
ของสาวกสองคนที่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเอ็มมาอู
หลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นแล้ว มีสองคนในท่านกลางสาวกออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเอ็มมาอู ระหว่างทางพวกเขาสนทนาถึงเรื่องที่ประสบพบมา ก็คือพูดถึงเรื่องที่มาเรียพูดเกี่ยวกับพระเยซู ขณะนั้นพระเยซูเสด็จมาใกล้พวกเขา แต่ตาของเขาพร่ามัวไป ไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นขึ้น พระเยซูในกายเลือดเนื้อของเมื่อก่อนนั้นพวกเขารู้จัก แต่วันนี้พระเยซูผู้เป็นขึ้นพวกเขาไม่รู้จัก พวกเขาคิดว่าการเป็นขึ้นจากตายเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด พวกเขาไม่อาจเชื่อ
พระเยซูจึงร่วมสนทนากับเขา เทศนาให้เขาฟังเริ่มต้นจากโมเซและบรรดาศาสดาพยากรณ์ ถ้อยคำทุกประการในพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ล้วนแต่อธิบายให้เขาเข้าใจ แต่พวกเขายังไม่รู้จักพระองค์ แม้พวกเขาจะฟังหลักธรรมในพระคัมภีร์เข้าใจแล้ว ทั้งมีความประทับใจ ภายในเกิดความเร่าร้อน แต่ก็ไม่รู้จักพระเยซู ประการนี้ให้เรามองเห็นว่าหลักธรรมกับการเปิดเผยนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาเข้าใจพระคัมภีร์ แต่พวกเขายังไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขารู้หลักธรรมเกี่ยวกับพระคริสต์ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าใครคือพระคริสต์
จนกระทั่งดวงอาทิตย์ใกล้จะตก เมื่อไปถึงหมู่บ้านเอ็มมาอู พวกเขาขอให้พระองค์พักอยู่ด้วย ขณะที่รับประทานอาหารนั้น พระเยซูทรงหักขนมปังแจกให้กับเขา ตาของเขาจึงสว่างขึ้น ตอนนี้จึงได้รู้จักพระองค์ เรื่องนี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า การรู้จักที่มนุษย์มีต่อพระเยซูนั้นมีสองแบบ การรู้จักแบบแรกคือพระคัมภีร์ให้กับมนุษย์ การรู้จักอีกแบบหนึ่งคือพระเยซูทรงเปิดตาของมนุษย์ให้มองเห็น บางคนอ่านพระคัมภีร์อย่างคล่องมาก ทั้งยังพูดให้คนอื่นฟังได้ด้วย แต่กลับไม่รู้จักพระเยซู บางคนไม่เพียงเข้าใจคำสอนในพระคัมภีร์ องค์พระผู้เป็นเจ้ายังเปิดตาของเขาให้เขารู้จักพระเยซู ทั้งสองแบบนี้แตกต่างกันมาก เราต้องรู้ว่าศาสนาคริสต์ไม่เพียงมีพระคัมภีร์ ศาสนาคริสต์ยังมีการเปิดเผยทางด้านส่วนตัว จริงอยู่ ถ้าไม่มีพระคัมภีร์ก็ไม่มีศาสนาคริสต์บนโลก แต่เราต้องจำไว้ว่าหากไม่มีการเปิดเผยทางด้านส่วนตัว เราก็ไม่มีพระคริสต์
ในท่ามกลางบุตรทั้งหลายของพระเจ้ามีปัญหาข้อนี้ การรู้จักมากมายนั้นเป็นการรู้ที่ถ่ายทอดกันมา – จากปากคนหนึ่งถ่ายทอดไปสู่หูอีกคนหนึ่ง จากความเข้าใจในสมองของคนหนึ่งประกาศไปยังหูอีกคนหนึ่ง ล้วนแต่ประกาศถ่ายทอดกันมา ดังนั้นจึงเป็นเพียงหลักธรรมคำสอน เราต้องจำไว้ว่าถ้าเพียงมีความรู้ในพระคัมภีร์แต่ไม่รู้จักพระเยซูนั้นไม่มีประโยชน์ สาวกสองคนที่ไปยังหมู่บ้านเอ็มมาอูนั้นรู้จักพระคัมภีร์ตั้งนานแล้ว ระหว่างทางองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสนทนากับเขา ขณะที่อธิบายพระคัมภีร์ให้กับเขานั้น ในใจของพวกเขาเร่าร้อน แต่เขายังไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า สำหรับพระองค์แล้วจะต้องมีการรู้จักภายในจึงเป็นการรู้จักที่แท้จริง ท่านมีการรู้จักภายในต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่?
การรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าของสาวกเจ็ดคน
วันหนึ่งซีโมนเปโตรกับโธมาที่เรียกชื่ออีกว่าดิดุโม และนะธันเอลชาวบ้านคานา มณฑลฆาลิลาย รวมทั้งบุตรชายสองคนของเซเบดาย และสาวกอีกสองคนมารวมอยู่ด้วยกัน เปโตรบอกพวกเขาว่า
“เราจะไปจับปลา” พวกเขาก็พูดว่า “เราจะไปด้วย” แต่ประหลาดมาก เมื่อก่อนจับปลาเก่ง ทว่าบัดนี้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วหันกลับไปจับปลาอีกกลับจับไม่ได้ พวกเขาจับทั้งคืนจับไม่ได้อะไรเลย ยิ่งประหลาดมากกว่านั้น ขณะที่ฟ้ากำลังสาง พระเยซูทรงยืนอยู่บนฝั่ง แต่เหล่าสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู โอ พระเยซูผู้เป็นขึ้น ไม่ใช่สายตาของมนุษย์รู้จักได แม้กระทั่งเปโตร โยฮัน ยาโกโบที่อยู่กับพระเยซูตลอดมา นะธันเอลผู้รู้จักกับพระเยซูก่อนใคร โธมาที่สงสัยการเป็นขึ้นของพระองค์ จนองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏให้เขามองเห็นเป็นพิเศษ แต่วันนี้พวกเขาต่างไม่รู้จักพระองค์เสียแล้ว พวกเขาต้องการประสบการณ์และฤทธิ์เดชอีกอย่างหนึ่งจึงสามารถรู้จักพระองค์ รอจนพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้างหรือ” พวกเขาทูลตอบว่า “ไม่มี” พระองค์จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงทอดอวนลงข้างขวาเรือเถิดและจะได้ปลา” เขาจึงทอดลง พอลากขึ้นมาก็ติดปลาเป็นอันมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ โยฮันสาวกที่เอนตัวลงที่พระทรวงขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงรู้ว่าเป็นพระองค์ และพูดกับเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อเปโตรได้ยินว่าเป็นพระองค์แล้วก็หยิบเสื้อชั้นนอกมาสวมกระโดดลงไปในทะเล เมื่อสักครู่นี้ เขาก็ได้ยินและได้เห็น แต่ไม่รู้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้รู้โดยฉับพลัน เป็นการรู้ที่น่าประหลาดมาก การรู้เช่นนี้ก็คือการเปิดเผย การรู้เช่นนี้ไม่หวั่นไหว คือภายในมองเห็น ภายในรู้จัก ภายในมีกำลัง การรู้เช่นนี้ให้กำลังอย่างใหม่แก่เปโตร
เมื่อพวกเขาขึ้นบนฝั่งแล้ว มองเห็นที่นั่นมีไฟถ่านติดอยู่ มีปลาวางบนไฟนั้นและมีขนมปังด้วย และพระเยซูตรัสว่า “เชิญมารับประทานอาหารเถิด” ในหมู่สาวกไม่มีใครอาจถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นผู้ใด?” เพราะเขารู้อยู่ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านรู้สึกไหมว่าคำพูดนี้ขัดแย้งกันมาก? ถ้าเขารู้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ต้องถามว่าพระองค์เป็นผู้ใด ทว่าเขาอยู่ที่นี่ไม่ใช่ไม่ถาม แต่ไม่กล้าถาม ไม่กล้าถามความหมายก็คือไม่รู้เพราะกลัวจึงไม่ถาม แต่ที่นี่กลับพูดว่าไม่มีคนกล้าถามว่าพระองค์เป็นผู้ใด และพูดด้วยว่าเพราะรู้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า กล่าวอีกได้ว่าภายนอกพวกเขาไม่รู้ แต่ภายในนั้นรู้ บุคคลผู้นี้คือผู้ใด ภายนอกพวกเขายังคงประหลาดใจ แต่ภายในรู้ว่าพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า มองรูปลักษณ์ของพระองค์ เราไม่รู้ ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ เราก็ไม่รู้ ว่าตามสมองแล้ว เราจะถามพระองค์ แต่ในใจเล่า ไม่ต้องถาม เพราะรู้ว่าพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ จะพูดว่าไม่รู้จักก็ไม่รู้จริง ๆ จะพูดว่ารู้แน่แล้วก็รู้แน่ชัดมาก นี่ก็คือประสบการณ์ของคริสเตียนจำนวนมาก มีเรื่องราวมากมายที่ท่านสัมผัสแล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องเช่นใด แต่อีกด้านหนึ่งก็ชัดเจนยิ่งขึ้น นี่เรียกว่าการเปิดเผย การเปิดเผยก็คือภายในชัดเจน การเปิดเผยคือภายในรู้ ดังนั้นผู้ที่ดำเนินประพฤติตามการเปิดเผยจึงมีสุขแล้ว ผู้ที่รู้จักกับองค์พระผู้เป็นเจ้าตามการเปิดเผยนั้นมีสุขแล้ว เพราะว่ามีเพียงคนเช่นนี้อยู่ต่อพระพักตร์องค์พระผู้เป็นจึงจะได้รับฤทธิ์เดช มีเพียงคนเช่นนี้อยู่ต่อพระพักตร์ของพระองค์จึงสามารถรู้สิ่งที่พระองค์กระทำได้
การรู้ภายนอกไม่อาจแทนทีการเปิดเผยภายใน เราทั้งหลายจะต้องมีการรู้จักภายในต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อภายในท่านมีการรู้จักแล้ว ก็ไม่มีใครทำให้ท่านหวั่นไหวได้ เราต้องทูลขอพระเจ้าเปิดตาของเรา ให้เราสามารถรู้ว่าตัวเราเองไม่มีวิธีที่จะรู้ได้ ถ้าอาศัยสมองของเรา หรืออาศัยหูตาของเราสามารถรู้ได้แต่เพียงพระเยซูที่อยู่ในรูปกายเลือดเนื้อ การรู้เช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อเรามากนัก การรู้เช่นนี้ไม่มีฤทธิ์เดชต่อเรามากนัก เราต้องทูลขอพระเจ้าโปรดนำพระบุตรของพระองค์เองมาเปิดเผยอยู่ภายใน ให้เราชัดเจนจากภายในและรู้จากภายใน ให้เรารู้ได้จากภายใน ให้ภายในเราไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อย